ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

เรื่องประหลาดของเบนจามิน บัตทอน : สกอตต์ ฟิตซ์เจอโรลด์

เราไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาใส่ไว้ในบล็อคของตัวเองดี
ก็เลยขอยืมเอาวรรณกรรมแปลของ สกอตต์ ฟิตซ์เจอโรลด์ (Scott Fitzgerald) มา
"เรื่องประหลาดของเบนจามิน บัตทอน"

วรรณกรรมเรื่องนี้ นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้ว
"The Curious Case of Benjamin Button เบนจามิน บัตตัน อัศจรรย์ฅนโลกไม่เคยรู้"
เมื่อปี 2009


(เคยดูกันรึเปล่าเนี่ย?)


 “ผมเกิดมาในสภาวะที่ไม่ปกติ”

 และนั่นเป็นการเริ่มต้นของภาพยนตร์เรื่อง “The Curious Case of Benjamin Button” ซึ่งดัดแปลงจากเรื่องราวของ เอฟ สก๊อต ฟิทซ์เจอราลด์ในปี 1920 ของชายที่เกิดมาด้วยวัยแปดสิบและย้อนอายุถอยหลัง เขาก็เหมือนเราทุกคนที่ไม่สามารถหยุดเวลาได้ จากนิวออร์ลีนส์ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี 1918 จนถึงศตวรรษที่ 21 กับการเดินทางที่ไม่ธรรมดาที่สุดเท่าที่คนๆ หนึ่งจะเป็นไปได้ ภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของชายผู้ที่ไม่เหมือนคนทั่วไป และผู้คนกับสถานที่ๆ เขาได้ค้นพบในช่วงชีวิตเขา ควมรักที่ได้พบพานและสูญเสียไป สีสันความสุขแห่งชีวิตและความโศกเศร้าแห่งความตาย และสิ่งที่คงอยู่เหนือกาลเวลา

เนื้อเรื่องย่อ

ก่อนพายุเฮอร์ริเคนแคทรินาพัดถล่มนิวออร์ลีนส์ หญิงชรา เดซี (เคต บลันเชตต์) นอนอยู่บนเตียงที่โรงพยาบาล มีลูกสาววัยผู้ใหญ่ของเธอ แคโรไลน์ (จูเลีย ออร์มอนด์) อยู่เคียงข้าง เดซี ขอให้ แคโรไลน์ ช่วยอ่านบันทึกส่วนตัวเล่มหนึ่งให้ฟัง มันคือบันทึกส่วนตัวของ เบนจามิน บัตตัน (แบรด พิตต์)

บันทึกส่วนตัวเล่มนั้นเล่าถึงชีวิตอันแปลกพิสดารของเบนจามิน ผู้ซึ่งมีอายุถอยย้อนกลับ เขาเกิดมามีร่างกายเสมือนคนชรา และป่วยเป็นโรคชราหลายต่อหลายโรค จนมีโอกาสเพียงน้อยนิดที่จะรอดชีวิต ทว่าเขาก็รอดมาได้ และยิ่งเด็กลงเรื่อยๆ เมื่อกาลเวลาผ่านพ้นไป

คุณยายของเดซีพักอาศัยอยู่ในสถานดูแลผู้สูงอายุแห่งหนึ่ง เดซีได้พบเบนจามินครั้งแรกที่นั่น แม้จะแยกจากกันไปนานหลายปี แต่เดซีกับเบนจามินก็ยังคงติดต่อกันมาตลอด และได้พบกันอีกครั้งในช่วงอายุขึ้นเลข 4 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อายุของพวกเขาเหมาะเจาะตรงกันพอดี

แคโรไลน์รู้สึกว่าเนื้อหาบางส่วนของบันทึกนั้นอ่านยากยิ่ง โดยเฉพาะส่วนที่บอกเล่าถึงช่วงเวลาที่เบนจามินกับเดซีใช้เวลาอยู่ด้วยกัน และเดซีแก่ชราลงเรื่อยๆ ตามธรรมชาติ ขณะที่เบนจามินดูอ่อนเยาว์ขึ้นทุกที

เราเข้าไปอ่านบทละครในเว็บวรรณกรรมแล้วสนุกมาก
ก็เลยจะเอามาแปะไว้ใน blog

มีทั้งหมด 11 ตอน

ไว้ว่างๆ ค่อยมาอ่านละกัน (เยอะจัด)

ปล.ไหนๆ ก็เข้ามาแล้ว ช่วยคอมเม้นให้เราด้วยก็แล้วกันนะ ^^





เรื่องประหลาดของเบนจามิน บัตทอน

สกอตต์ ฟิตซ์เจอโรลด์



1



สมัยเมื่อปี 1860 โน้น การเกิดที่บ้านถือเป็นเรื่องถูกต้องเหมาะสม ส่วนในสมัยนี้ ข้าพเจ้าได้ฟังมาว่าพวกเทพเบื้องสูงทางการแพทย์พากันประกาศิตว่า เด็กทารกควรจะได้เปล่งเสียงร้องครั้งแรกในท่ามกลางบรรยากาศกรุ่นยาสลบในโรงพยาบาล โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่ทันสมัยล้ำยุค ดังนั้น สองสามีภรรยาหนุ่มสาว นายและนางโรเจอร์ บัตทอน จึงนับได้ว่ามีหัวก้าวหน้าล้ำยุคล้ำสมัยไปห้าสิบปี เพราะพวกเขาตัดสินใจในวันหนึ่งกลางฤดูร้อนปี 1860 ว่าจะคลอดบุตรคนหัวปีในโรงพยาบาล ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าการกระทำผิดยุคผิดสมัยดังว่านี้ ส่งผลต่อเรื่องแปลกประหลาดที่ข้าพเจ้ากำลังจะเล่านี่หรือไม่ ข้าพเจ้าจะเล่าว่าเกิดอะไรขึ้น และปล่อยให้ท่านตัดสินกันเอง

ณ เมืองบัลติมอร์ยุคก่อนเกิดสงครามกลางเมือง สองสามีภรรยาโรเจอร์ บัตทอนอยู่ในฐานะที่น่าอิจฉาทั้งในทางสังคมและทางการเงิน ทั้งคู่เกี่ยวดองสัมพันธ์กับคนตระกูลนี้และคนตระกูลนั้น ซึ่งคนทางใต้ทุกคนรู้กันดีว่า เหตุนี้แหละที่ทำให้คนทั้งสองได้เข้าเป็นสมาชิกชนชั้นสูงที่รวมกันอยู่เป็นชนกลุ่มใหญ่ในสมาพันธรัฐภาคใต้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาทั้งสองจะได้พานพบประสบการณ์การมีบุตร ซึ่งเป็นเรื่องดีงามน่าใหลหลงที่ผู้คนปฏิบัติกันมาแต่โบราณ จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่นายบัตทอนจะตื่นเต้นตกใจ เขาหวังว่าจะได้ลูกชายเพื่อที่จะได้ส่งไปเรียนวิทยาลัยเยลในคอนเนคติกัต อันนายบัตทอนนั้นก็เป็นที่รู้จักอยู่ในสถาบันแห่งนั้นเป็นเวลาสี่ปีด้วยฉายาโดดเด่นว่า “รังดุม”

เช้าวันศักดิ์สิทธิ์ในเดือนกันยายนซึ่งจะเกิดเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ นายบัตทอนตื่นนอนเวลาหกโมงเช้าด้วยความตื่นเต้น แต่งตัวจนดูไม่มีที่ติ แล้วรีบรุดเดินผ่านถนนหลายสายในเมืองบัลติมอร์ตรงไปยังโรงพยาบาล เพื่อจะดูว่าความมืดมิดแห่งราตรีนั้นได้รองรับชีวิตใหม่แล้วหรือยัง

ตอนนั้นเขาอยู่ห่างจาก ‘โรงพยาบาลเอกชนแมรีแลนด์สำหรับสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ’ ประมาณหนึ่งร้อยหลา และมองเห็นนายแพทย์คีน หมอประจำตระกูล กำลังเดินก้าวลงบันไดหน้าโรงพยาบาล ถูทั้งสองไปมาเหมือนกับล้างมือแบบเดียวกับที่นายแพทย์ทั้งหลายทำกัน เหมือนเป็นจรรยาบรรณที่ไม่ได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรของคนอาชีพนี้

นายโรเจอร์ บัตทอน ประธานบริษัท ‘โรเจอร์ บัตทอนและสหาย ขายส่งเครื่องโลหะ’ วิ่งตรงไปหานายแพทย์คีนด้วยทีท่าสง่างามน้อยกว่าลักษณะโดยทั่วไปของสุภาพบุรุษชาวใต้ในยุคสมัยอันงดงามนั้น

“คุณหมอคีนครับ” เขาตะโกนเรียก “โอ คุณหมอคีน”

นายแพทย์ได้ยินเขาเรียก จึงหันหน้ามามองและหยุดยืนคอย ใบหน้าเคร่งเครียดสมกับที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์นั้นมีสีหน้าประหลาดขณะที่นายบัตทอนเดินเข้ามาใกล้

“เกิดอะไรขึ้นครับ” นายบัตทอนถามเมื่อเดินมาถึงด้วยอาการหอบฮั่ก ๆ “เด็กเป็นอย่างไรบ้างครับ ภรรยาผมล่ะครับ เด็กผู้ชายหรือครับ เขาเป็นชายหรือหญิงครับ แล้ว…”

“พูดให้รู้เรื่องหน่อย” นายแพทย์คีนกล่าวเสียงเฉียบขาด ท่าทางออกจะรำคาญ

“เด็กคลอดแล้วยังครับ” นายบัตทอนถามอย่างวิงวอน

นายแพทย์คีนทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “อ๋อ คลอดแล้วสิ คิดว่าอย่างนั้นนะ ทำนองนั้นล่ะ” แล้วเขาก็มองนายบัตทอนอีกครั้งด้วยสีหน้าแสดงความสงสัยระคนประหลาดใจ

“ภรรยาของผมปลอดภัยนะครับ”

“ใช่”

“เด็กเป็นชายหรือหญิงครับ ”

“เอาอย่างนี้นะ” นายแพทย์คีนร้องขึ้นด้วยความรำคาญฉุนเฉียวอย่างจริงจัง “ไปดูด้วยตาตัวเองเถอะ เหลือเชื่อจริงๆ” คำพูดสุดท้ายเขาตะคอกใส่จนเสียงสั้นเกือบเป็นพยางค์เดียว จากนั้นเขาหันหน้าหนี พูดงึมงำในลำคอ “คิดว่ากรณีแบบนี้จะช่วยสร้างชื่อเสียงทางการงานฉันเรอะ ถ้าขืนเจอแบบนี้อีกรายเดียว ฉันเป็นจอดแน่ เป็นใครก็จอดทั้งนั้น”

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ” นายบัตทอนรู้สึกใจหายถามขึ้นว่า “แฝดสามคนหรือครับ”

“ไม่ ไม่ใช่แฝดสาม” นายแพทย์ตอบอย่างไม่รักษาน้ำใจ “จะรออะไรอีกล่ะ ไปดูด้วยตัวเองสิ และไปหาหมอคนอื่นได้แล้ว ฉันทำคลอดเธอมากับมือนะ พ่อหนุ่ม แล้วยังเป็นหมอให้ครอบครัวเธอมาสี่สิบปี แต่พอกันที ฉันไม่ต้องการพบเธอหรือวงศาคณาญาติของเธออีก ลากันที”

จากนั้นเขากลับหลังหันไปอย่างรวดเร็ว ไม่พูดอะไรอีก ปีนขึ้นไปนั่งบนรถม้าที่จอดรออยู่ตรงขอบถนน ขับตะบึงออกไปอย่างดุเดือด นายบัตทอนยืนอยู่บนทางเดิน รู้สึกมึนงงและสั่นระริกจากศีรษะจรดปลายเท้า ลูกของเขาพิกลพิการน่ากลัวขนาดนั้นเชียวรึ จู่ ๆ เขาก็หมดความเร่าร้อนที่จะเข้าไปใน ‘โรงพยาบาลเอกชนแมรีแลนด์สำหรับสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ’ ครู่ใหญ่ต่อมา เขาบังคับตัวเองอย่างยากเย็นแสนเข็ญให้ก้าวขึ้นบันไดและเดินผ่านประตูหน้าเข้าไป

นางพยาบาลคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างหลังโต๊ะในห้องโถงที่ดูมืดทึมและเศร้าสร้อย

นายบัตทอนกล้ำกลืนความอับอายและเดินไปหาหล่อน

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” หล่อนทักทายและมองเขาอย่างร่าเริง

“อรุณสวัสดิ์ครับ ผม ผมชื่อบัตทอนครับ”

ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าหวาดกลัวก็แผ่ซ่านขึ้นบนใบหน้าหญิงสาว หล่อนลุกขึ้นยืนและทำท่าคล้ายจะวิ่งหนีออกจากห้องโถงนั้น แต่เหนี่ยวรั้งตัวเองไว้ด้วยความยากเย็นอย่างเห็นได้ชัด

“ผมอยากดูลูกของผม” นายบัตทอนพูด

พยาบาลหวีดร้องออกมาเบา ๆ “โอ ได้สิคะ” แล้วหล่อนก็ตะโกนเสียงดังอย่างคุมตัวเองไม่อยู่ “ชั้นบน ชั้นบนทางขวามือ ขึ้นไปเลยค่ะ”

หล่อนชี้ทาง นายบัตทอนนั้นเหงื่อเย็นเยียบไหลท่วมตัว เขาหันหลังอย่างไม่ค่อยแน่ใจ ก่อนจะเดินขึ้นชั้นสอง ในห้องโถงชั้นบนเขาพูดกับพยาบาลอีกคนซึ่งเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับกะละมังอาบน้ำในมือ “ผมชื่อบัตทอนครับ” เขากล่าวอย่างชัดเจน “ผมต้องการพบ...”

เคล้ง กะละมังอาบน้ำหล่นลงบนพื้นและกลิ้งไปทางบันได เคล้ง โคล้ง เคล้ง มันหล่นลงบันไดทีละขั้นประหนึ่งจะร่วมวงความตื่นตระหนกที่เกิดจากสุภาพบุรุษผู้นี้

“ผมต้องการพบลูกของผม” นายบัตทอนร้องจนเกือบเป็นตะโกน เขาจวนเจียนจะเป็นลมล้มครืนอยู่แล้ว

เคล้ง กะละมังอาบน้ำกลิ้งไปถึงชั้นหนึ่ง พยาบาลเพิ่งจะได้สติ และมองนายบัตทอนอย่างดูแคลนเต็มที่

“ได้สิ คุณบัตทอน” หล่อนตอบด้วยเสียงเบา “ได้เลย แต่อยากให้คุณรู้จังว่าเมื่อเช้านี้เราโกลาหลกันขนาดไหน เหลือเชื่อที่สุด โรงพยาบาลนี้คงไม่หลงเหลือชื่อเสียงอะไรอีกแล้ว หลังจาก...”

“เร็วเข้าเถอะครับ” เขาร้องอย่างเหลืออด “ผมทนไม่ไหวแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้น เชิญทางนี้ คุณบัตทอน”

เขาลากสังขารตัวเองตามหล่อนไป สุดปลายห้องโถงยาวนั้น ทั้งสองมาถึงห้องซึ่งเต็มไปด้วยเสียงร้องกระจองอแงทุกชนิด ที่จริงแล้ว นี่คือห้องซึ่งภายหลังเป็นที่รู้จักกันว่า ‘ห้องร้องไห้’ ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องนั้น

“เอาล่ะครับ” นายบัตทอนพูดด้วยอาการหอบ “คนไหนลูกผมครับ”

“นั่นไง” พยาบาลบอก

นายบัตทอนมองตามนิ้วของพยาบาลที่ชี้บอก และนี่คือสิ่งที่เขาเห็น ร่างในผ้าห่มสีขาวผืนใหญ่หนาซึ่งนั่งอัดอยู่ในเปลเด็ก เป็นชายแก่อายุประมาณเจ็ดสิบปี ผมที่เหลืออยู่บางๆ เกือบจะเป็นสีขาว ใต้คางมีเครายาวสีควันบุหรี่ห้อยปลิวไปมาดูน่าขันยามต้องสายลมอ่อนๆ ที่พัดเข้ามาทางหน้าต่าง เขามองดูนายบัตทอนด้วยดวงตาสีขุ่นแฝงด้วยแววสงสัย

“ผมเป็นบ้าตาลายไปหรือเปล่านี่” นายบัตทอนส่งเสียงดังเหมือนฟ้าร้อง ความหวาดกลัวของเขากลายเป็นความโกรธเกรี้ยว “ตลกชวนยิ้มแสยะของโรงพยาบาลหรือครับ”

“พวกเราไม่เห็นว่าน่าขำตรงไหน” พยาบาลตอบอย่างเคร่งเครียด “และฉันไม่ทราบหรอกค่ะว่าคุณเสียสติไปหรือเปล่า แต่นี่เป็นลูกของคุณแน่นอนที่สุด”

เม็ดเหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นที่หน้าผากนายบัตทอนมากขึ้นเป็นเท่าทวี เขาหลับตาลง และลืมตาขึ้นอีกครั้ง มองไปอีกที ไม่มีอะไรผิดพลาด เขากำลังจ้องดูชายผู้มีอายุยี่สิบสามหนบวกสิบ ทารกซึ่งมีอายุยี่สิบสามหนบวกสิบ ทารกซึ่งนั่งห้อยเท้าสองข้างอยู่บนเปล

ชายชรามองคนนั้นทีมองคนนี้ทีอย่างสงบ จากนั้นพูดขึ้นทันใดด้วยเสียงแหบพร่าของคนชรา “คุณเป็นพ่อผมหรือครับ” เขาถาม

นายบัตทอนและพยาบาลตกใจสะดุ้งสุดขีด

“เพราะว่าถ้าคุณเป็นพ่อของผม” เขายังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “ผมอยากให้คุณพาผมออกไปจากที่นี่ หรืออย่างน้อยบอกให้เขาหาเก้าอี้โยกสบาย ๆ มาไว้ตรงนี้หน่อย”

“คุณมาจากไหน คุณเป็นใคร” นายบัตทอนระเบิดเสียงโวยวายอย่างไร้สติ

“ผมบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าผมเป็นใคร” เขาตอบด้วยเสียงสะอื้นคราง “เพราะว่าผมเพิ่งเกิดได้สองสามชั่วโมงเท่านั้น แต่ชื่อสกุลของผมคือบัตทอนแน่นอน”

“แกโกหก แกมันไอ้คนแอบอ้าง”

ชายชราหันไปหาพยาบาลอย่างเหนื่อยอ่อน

“เขาต้อนรับเด็กเกิดใหม่กันแบบนี้เรอะ” เขาบ่นเบา ๆ “ทำไมคุณไม่บอกไปล่ะครับว่าเขาเข้าใจผิด”

“คุณเข้าใจผิดนะคะ คุณบัตทอน” พยาบาลกล่าวอย่างจริงจัง “นี่คือลูกของคุณ และคุณจะต้องทำให้ดีที่สุด เราต้องขอให้คุณพาเขากลับบ้านเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ค่ะ วันนี้เวลาไหนก็ได้ค่ะ”

“บ้านหรือครับ” นายบัตทอนกล่าวซ้ำอย่างไม่เชื่อหู

“ใช่ค่ะ เราให้เขาอยู่ที่นี่ไม่ได้ ไม่ได้จริง ๆ นะคะ”

“ผมยินดีมากครับ” ชายชรารำพัน “ที่นี่ช่างเงียบเชียบเหมาะกับเด็กผู้รักความสงบเสียจริง เสียงร้องกระจองอแงแบบนี้ จะให้ผมหลับเข้าไปได้ยังไง พอผมหิวร้องขอของกิน” ตอนนี้เสียงเขาหวีดแหลมไม่พอใจ “เขากลับเอานมมาให้ผม”

นายบัตทอนนั่งจมลงบนเก้าอี้ใกล้บุตรชายของเขา และยกมือขึ้นปิดหน้า “สวรรค์ช่วยด้วยเถิด” เขาพึมพำอย่างสยองใจ “คนอื่นรู้เข้าจะว่ายังไงกันบ้างก็ไม่รู้ ฉันจะทำยังไงดี”

“คุณต้องพาเขากลับบ้าน” พยาบาลกล่าวยืนยัน “เวลานี้เลยนะคะ”

ภาพพิลึกพิลั่นปรากฏแจ่มชัดจนน่ากลัวอยู่เบื้องหน้าชายผู้ทุกข์ทรมาน ภาพเขาเดินบนถนนในตัวเมืองซึ่งคลาคล่ำด้วยฝูงชน โดยมีชายประหลาดน่าเกลียดน่ากลัวคนนี้เดินกระย่องกระแย่งเคียงข้างเขา

“ผมทำไม่ได้ ผมทำไม่ได้” เขาคร่ำครวญ

ผู้คนจะพากันทักทายเขา แล้วเขาจะพูดอะไรได้ เขาจะต้องแนะนำคุณปู่อายุเจ็ดสิบคนนี้ว่า ‘นี่ลูกชายผมครับ เพิ่งคลอดเมื่อเช้านี้เอง’ จากนั้นชายชราคนนี้จะกระชับผ้าห่มรอบ ๆ ตัวเขา แล้วทั้งสองก็ค่อย ๆ เดินต่อ ผ่านร้านรวงที่หนาแน่นไปด้วยผู้คน ผ่านตลาดค้าทาส (วูบนั้นนายบัตทอนเกิดความคิดชั่วร้าย นึกอยากให้ลูกชายของเขาเป็นคนผิวดำเสียให้รู้แล้วรู้รอด) จากนั้นเดินผ่านบ้านหรูหราในย่านที่พักอาศัย ผ่านบ้านพักคนชรา…

“เอาน่า คุณทำใจดีๆ ไว้ดีกว่า” พยาบาลพูด

“นี่” ชายชราสอดขึ้น “ถ้าคุณคิดว่าผมจะเดินห่มผ้าห่มผืนเดียวกลับบ้านละก็ คุณคิดผิดแล้วล่ะ”

“ทารกก็ต้องห่มผ้าทุกคนแหละค่ะ”

ชายชราชูผ้าผืนเล็กสีขาวอย่างโกรธเคือง “ดูนี่ซะ” ตัวเขาสั่นเทิ้ม “นี่คือผ้าที่เขาเอามาให้ผม”

“ทารกก็ต้องห่มผ้าพวกนี้ทั้งนั้น” พยาบาลเจ้าระเบียบตอบ

“ก็ได้” ชายชราพูด “อีกสองนาทีทารกคนนี้จะไม่ห่มอะไรเลย ผ้าอะไรคันเป็นบ้า อย่างน้อยเอาผ้าปูผืนใหญ่มาให้ก็ยังดี”

“ห่มไว้ก่อน ห่มไว้” นายบัตทอนรีบห้าม แล้วหันไปทางพยาบาล “ผมจะทำยังไงดี”

“เข้าเมืองไปหาซื้อเสื้อผ้าให้ลูกคุณสิคะ”

เสียงของลูกชายร้องตามหลังนายบัตทอนไป “เอาไม้เท้าด้วยครับคุณพ่อ ผมต้องใช้ไม้เท้า”

นายบัตทอนเหวี่ยงประตูบานนอกดังปังอย่างไม่ปรานีปราศรัย



2




“อรุณสวัสดิ์ครับ” นายบัตทอนเอ่ยทักพนักงาน ‘บริษัทขายเสื้อผ้าเชสสะพีค’ แบบหวาดๆ “ผมหาซื้อเสื้อผ้าให้ลูก”

“ลูกของคุณอายุเท่าไหร่ครับ”

“ประมาณหกชั่วโมง” นายบัตทอนตอบโดยไม่ทันคิด

“แผนกเครื่องใช้ทารกอยู่ด้านหลังครับ”

“เอ้อ ผมคิดว่า…ผมคงพูดผิดครับ คือว่า ลูกผมตัวใหญ่ผิดปกติ เอ้อ ใหญ่...มาก”

“ทางแผนกเขามีขนาดใหญ่ที่สุดสำหรับเด็กหลายขนาดครับ”

“แผนกเด็กชายอยู่ไหน” นายบัตทอนสอบถามพลางขยับเท้ากระสับกระส่าย เขารู้สึกว่าพนักงงานจะต้องหยั่งรู้ความลับที่น่าละอายของเขาแล้วแน่นอน

“ที่นี่ครับ”

“เอ้อ” เขาลังเล ความคิดที่จะจับลูกชายใส่เสื้อผ้าบุรุษช่างน่าสะอิดสะเอียนนัก สมมติว่า เขาหาชุดสูทเด็กขนาดใหญ่สุดได้ เขาอาจตัดเครายาวกับหนวดบ้านั้นทิ้ง ย้อมผมขาวเป็นสีน้ำตาลซะ เท่านี้ก็พอจะปกปิดส่วนเลวร้ายที่สุดไว้ได้ เขาจะยังเหลือความนับถือตัวเองส่วนหนึ่ง ส่วนฐานะของเขาในวงสังคมเมืองบัลติมอร์นั้นยังไม่ต้องพูดถึงกัน

แต่หลังจากค้นหาแผนกเด็กชายอย่างพลิกแผ่นดินแล้ว ไม่มีชุดใดเลยที่จะพอดีตัวบัตทอนแรกเกิด เขาตำหนิห้างสรรพสินค้านั้น ใช่สิ แน่นอน กรณีแบบนี้เป็นเรื่องที่ต้องตำหนิห้างนั้นแน่ๆ

“คุณบอกว่าลูกชายของคุณอายุเท่าไรนะครับ” พนักงานถามอย่างอยากรู้

“เขาอายุ...สิบหก”

“โอ ขอโทษครับ ผมนึกว่าคุณบอกว่าหกชั่วโมง แผนกเด็กวัยรุ่นอยู่ช่องถัดไปครับ”

นายบัตทอนหันหน้าไปอีกทางอย่างเศร้าสร้อย จากนั้นหยุดกึก ยิ้มหน้าบาน และชี้นิ้วไปที่ชุดสูทบนตัวหุ่นในตู้แสดงสินค้า

“นั่นไง” เขาร้อง “ผมจะซื้อชุดนั้น ชุดที่หุ่นใส่อยู่นั่นแหละ”

พนักงานจ้องตาถลน “แต่ว่า” เขาค้าน “นั่นไม่ใช่ชุดของเด็กครับ เอ้อมันใช่ แต่เป็นชุดแต่งแฟนซี คุณสวมชุดนั้นเองยังได้เลยนะครับ”

“เอาชุดนี้ห่อให้ผม” ผู้เป็นลูกค้ายืนยันด้วยอาการร้อนรน “ผมต้องการชุดนี้”

พนักงานผู้นั้นพิศวงงงงวยแต่ก็ทำตาม

เมื่อกลับมาถึงโรงพยาบาล นายบัตทอนเดินตรงเข้าไปที่ห้องเด็กทารก และแทบจะโยนห่อเสื้อผ้าให้บุตรชาย “เอ้านี่ เสื้อผ้าของแก” เขาพูดเสียงห้วน

ชายชราแกะห่อแล้วมองของข้างในด้วยสายตาขบขัน

“ชุดนี้ดูตลกนะครับ” เขาบ่น “ผมไม่อยากกลายเป็นตัวตลก...”

“แกน่ะแหละทำให้ฉันกลายเป็นตัวตลก” นายบัตทอนกระแทกเสียงตอบอย่างรุนแรงด้วยโทสะ “แกไม่ต้องสนใจว่าจะดูตลกแค่ไหน ใส่เสื้อผ้าซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะ...จะตีก้นแก” เขากลืนน้ำลายยากเย็นหลังคำพูดเกือบสุดท้ายคำนั้น แต่ก็รู้สึกว่าพูดแบบนี้ก็เหมาะแล้ว

“เอาล่ะครับ คุณพ่อ” คนพูดเลียนแบบท่าเคารพผู้ให้กำเนิดได้สุดแสนพิลึกพิลั่นขัดลูกนัยน์ตา “พ่ออาบน้ำร้อนมาก่อนผม ย่อมรู้ดีที่สุด ผมจะทำตามที่พ่อบอกครับ”

เหมือนเช่นครั้งก่อนๆ นายบัตทอนได้ยินคำว่า ‘พ่อ’ แล้วก็สะดุ้งสุดตัว

“แล้วก็รีบ ๆ ด้วยล่ะ”

“ผมรีบอยู่ครับ คุณพ่อ”

เมื่อบุตรชายของเขาแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย นายบัตทอนมองดูด้วยความห่อเหี่ยว เครื่องแต่งกายนั้นประกอบด้วยถุงเท้าลายจุด กางเกงขาสั้นสีชมพู และเสื้อคาดเข็มขัดมีคอเสื้อกว้างสีขาว เครายาวสีเงินยาวเกือบถึงเอวกวัดแกว่งไปมาอยู่บนปกเสื้อ ช่างไม่เข้ากันเอาเสียเลย

“รอเดี๋ยว”

นายบัตทอนหยิบกรรไกรด้ามใหญ่ของโรงพยาบาลมาถือ ตัดฉับๆ สามทีตรงเคราส่วนที่หนามาก แต่แม้จะแก้ไขเช่นนั้นแล้ว ดูรวม ๆ ก็ยังห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบ เพราะยังคงมีเส้นผมหยาบเป็นพุ่มโกโรโกโส ดวงตาเปียกแฉะ และฟันฟางเก่า ๆ หลงเหลืออยู่ ซึ่งทำให้ดูแปลกประหลาด ไม่เข้ากับชุดเสื้อผ้าที่มีสีสดใสนั้นเลย แม้กระนั้นนายบัตทอนก็ไม่ยอมแพ้ ดึงแขนชายชราและพูดเสียงแข็ง “มา ไปด้วยกัน”

บุตรชายจับมือนายบัตทอนอย่างไว้ใจ “พ่อจะเรียกผมว่าอะไรครับ” ถามเสียงสั่นขณะที่เดินออกจากห้องเด็กทารกไปด้วยกัน “เรียกแค่ ลูกน้อย ไปก่อนดีไหมครับ จนกว่าพ่อจะนึกชื่อที่ดีกว่านี้ได้”

นายบัตทอนคำรามในคอ “ไม่รู้โว้ย” เสียงเขาเกรี้ยวกราด “ฉันกะจะเรียกแกว่าเมธุเซลาห์ ”


ขี้เกียจพิมพ์แล้ว
ตอนที่ 3 ไว้เดี๋ยวมาต่อให้พรุ่งนี้นะ

13 ความคิดเห็น:

  1. ว้าว เม้นๆ ว่างกว่านี้จะมาอ่านต่อ :]

    ตอบลบ
  2. สุดยอด

    เน็ตกะจะหั้ยเค้าเห็นภาพเรย ^^

    เยอะมาก

    ตอบลบ
  3. ขยันพิมมากอ่ะ

    น่าสนใจดีๆ

    ตอบลบ
  4. อะโห
    ยาวเว่อเลยอ่ะเทอ

    ตอบลบ
  5. อ่านยาวไปไหน 555555555

    ตอบลบ
  6. กำลังเรียนคอมฯ วันนี้สอบๆค่ะ :))

    ตอบลบ
  7. ///ยาวอ่ะวันหลังเล่าให้ฟังน่ะ *-*

    ตอบลบ
  8. ยาวจังเลย ขี้เกียจอ่านอ่า

    ตอบลบ
  9. น่าจะสนุกนะ ถ้าได้อ่าน

    ตอบลบ
  10. ยาว ววว ว ~ มากๆๆอะ
    ไว้ว่างๆจะกลับมาอ่านละกันน ^ ^

    ตอบลบ
  11. ดีจังอยากรู้ว่าเรื่องจริงเคยมีแบบนี้ในโลกไหมนะ

    ตอบลบ