มาแล้วๆ ตอนที่ 3 กับตอนที่ 4 จ้า^^
3
สมาชิกใหม่ในครอบครัวบัตทอนอุตส่าห์ตัดผมที่มีอยู่หรอมแหรมจนสั้น ย้อมด้วยสีดำผิดธรรมชาติ หนวดเคราบนหน้าถูกโกนเกลี้ยงเกลาจนเป็นเงาวับ และสวมใส่เสื้อผ้าเด็กชายที่ตัดโดยช่างเสื้อผู้ตกตะลึงจังงัง ทว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่ครอบครัวบัตทอนจะเพิกเฉยต่อความจริงที่ว่า บุตรชายของตนมีข้อตำหนิ ไม่สมกับเป็นบุตรคนหัวปีของครอบครัวเอาเสียเลย แม้ว่าหลังของเขาจะงองุ้มเยี่ยงชายชรา แต่เบนจามิน บัตทอน (เขาได้ชื่อนี้มาแทนชื่อน่าเกลียดว่าเมดูเซลาห์) ก็สูงถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่ไม่ได้ช่วยปกปิดเรื่องนี้ และถึงจะเล็มตัดและย้อมขนคิ้วอย่างไร ก็ไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ว่าภายใต้ขนคิ้วนั้นคือดวงตาอ่อนล้าซีดเซียวและแฉะไปด้วยน้ำ พี่เลี้ยงเด็กที่จ้างไว้ล่วงหน้าเหลือบดูเบนจามินครั้งเดียวก็เปิดแจ้นกลับไป ทำท่ารังเกียจยังกับอะไรดี
แต่นายบัตทอนยังคงยืนยันจุดประสงค์อย่างไม่เปลี่ยนแปลง เบนจามินเป็นทารก จึงต้องทำตัวให้เหมือนเด็กทารก ครั้งแรกเขาประกาศว่าหากเบนจามินไม่ชอบดื่มนมอุ่น งั้นก็ไม่ต้องกินอะไรเลย แต่ในที่สุดเขาก็ประนีประนอม อนุญาตให้บุตรชายรับประทานขนมปังทาเนย ยอมถึงขนาดให้กินข้าวโอ๊ตด้วย วันหนึ่งเขากลับบ้าน ส่งของเล่นเด็กที่เขย่าเสียงดังเผาะแผะให้เบนจามิน คาดคั้นเสียงเฉียบขาดให้ลูก ‘เล่นมัน’ ซึ่งชายชราก็รับไปด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย จากนั้นก็เล่นอย่างว่าง่าย ทำเสียงกรุ๋งกริ๋งมาให้ได้ยินเป็นระยะ ๆ ตลอดวัน
แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเบื่อของเล่นนั้น และเมื่อได้อยู่ตามลำพังเขาก็พบของเล่นอื่นซึ่งช่วยผ่อนคลายอารมณ์ได้ดีกว่า อย่างเช่น วันหนึ่งนายบัตทอนค้นพบว่าสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นเขาสูบซิการ์หมดไปมากผิดปกติ น่าพิศวงยิ่งนัก แต่สองสามวันต่อมาเขาก็ได้รู้ที่มาที่ไป เมื่อเขาเข้าไปในห้องเด็กโดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า ห้องนั้นคลุ้งไปด้วยควันสีฟ้าอ่อน ๆ เบนจามินทำหน้าสำนึกผิดและพยายามซ่อนก้นซิการ์ฮาวานาสีดำไว้
แน่นอนว่าเรื่องนี้สมควรต้องลงโทษด้วยการหวดก้นให้เข็ดหลาบ แต่นายบัตทอนพบว่าเขาทำไม่ลง เขาจึงได้แต่เตือนบุตรชายว่าซิการ์นั้นจะ ‘ทำให้ลูกไม่โต’
อย่างไรก็ตาม นายบัตทอนยังคงมุ่งมั่นในความคิด เขาซื้อตุ๊กตาทหารทำด้วยตะกั่ว รถไฟเด็กเล่น ตุ๊กตาสัตว์ตัวใหญ่ทำด้วยผ้าฝ้ายมาให้บุตรชาย และเพื่อให้สมบูรณ์แบบ ให้ครบเครื่องภาพลวงตาที่อย่างน้อยเขาก็รังสรรค์ขึ้นเพื่อตัวเขาเอง เขาถามพนักงานในร้านขายตุ๊กตาด้วยสุ้มเสียงวิตกกังวลว่า “เป็ดสีชมพูตัวนี้ สีจะลอกไหมถ้าเด็กเอาเข้าปาก” กระนั้น ถึงแม้บิดาจะพยายามหว่านล้อมสารพัดวิธีอย่างไร เบนจามินก็ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจของเล่น พ่อลูกชายจะแอบลงไปทางบันไดด้านหลัง และกลับขึ้นมาห้องเด็กพร้อมหนังสือสารานุกรมเอนบริเทนนิกา แล้วบ่ายวันนั้นทั้งวันก็จะนั่งตั้งอกตั้งใจอ่านอย่างมุ่งมั่น ไม่แยแสตุ๊กตาแม่วัวกับเรือโนอาห์ที่ถูกทิ้งอยู่บนพื้นห้อง
เมื่อมาเจอความดื้อรั้นขนาดนี้ ความพยายามของนายบัตทอนจึงได้ผลน้อยเหลือเกิน
ตอนแรกนั้น เรื่องนี้สร้างความแตกตื่นสนใจใหญ่หลวงในเมืองบัลติมอร์ ความเสื่อมเสียชื่อเสียงในสังคมที่จะเกิดกับครอบครัวบัตทอนและวงศาคณาญาติทั้งหลายคงไม่อาจประมาณได้ หากไม่มีสงครามกลางเมืองระเบิดขึ้นและดึงดูดเอาความสนใจของผู้คนไปหมด มีบางคนที่พยายามเค้นสมองหาคำยกยอแสนสุภาพมอบให้แก่บิดามารดาของเด็ก และในที่สุดก็บังเกิดความคิดจากสมองชาญฉลาดนั้นว่า ทารกนั้นมีความละม้ายคล้ายปู่อยู่ไม่น้อย ซึ่งก็เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะร่างกายที่เสื่อมถอยด้วยวัยชราของเบนจามินนั้น ก็เหมือนกับลักษณะชายวัยเจ็ดสิบทั้งหลายนั่นเอง นายและนางโรเจอร์ บัตทอนไม่รู้สึกยินดีกับคำชม และผู้เป็นปู่ของเบนจามินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟที่ถูกหมิ่นประมาทเช่นนั้น
เมื่อออกจากโรงพยาบาล เบนจามินก็ใช้ชีวิตไปตามครรลอง มีคนพาเด็กชายเล็ก ๆ หลายคนมาให้พบปะพูดคุย เขาก็สู้ทนฝืนข้อต่อที่ยึดตึง กระตุ้นตัวเองให้สนุกกับลูกข่างและลูกหินอยู่ทั้งบ่าย และถึงกับใช้หนังสติ๊กยิงกระจกบานหน้าต่างห้องครัวแตกได้โดยบังเอิญ ซึ่งชัยชนะนี้ทำให้บิดาของเขาแอบดีใจอยู่เงียบ ๆ
หลังจากวันนั้นเบนจามินมีเรื่องทำของแตกทุกวัน ทว่าเขาทำเช่นนั้นเพราะรู้ว่าทุกคนคาดหวังให้เขาทำ และนิสัยของเขาก็เป็นคนชอบโอนอ่อนตามคนอื่นอยู่แล้ว
ครั้นเมื่อความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ของปู่เบาบางลง เบนจามินกับสุภาพบุรุษชราก็ใช้เวลาอยู่ด้วยกันด้วยความสุข ทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกันคราวละหลายชั่วโมง แม้จะต่างด้วยวัยและประสบการณ์ แต่สามารถพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงราบเรียบถึงเหตุการณ์ในแต่ละวันที่ผ่านไปอย่างช้า ๆ โดยไม่รู้สึกเบื่อหน่าย เบนจามินรู้สึกสบายใจที่จะอยู่กับปู่มากกว่าบิดามารดา เพราะทั้งสองคนดูจะเกรงกลัวเขาอยู่ และแม้จะชอบใช้อำนาจบังคับเขา แต่บ่อยครั้งกลับเรียกเขาโดยมีคำนำหน้าว่า ‘คุณ’
เขาเองรู้สึกแปลกประหลาดใจเช่นเดียวกับผู้อื่น ในเรื่องที่เขาชราทั้งจิตใจและร่างกายตั้งแต่แรกเกิด เขาอ่านเรื่องนี้ในวารสารการแพทย์ แต่ไม่พบว่าเคยมีบันทึกถึงกรณีเช่นนี้ ด้วยแรงกระตุ้นจากบิดา เขาลองพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเล่นกับเด็กชายคนอื่น ๆ และมักเล่นกีฬาเบา ๆ ส่วนเกมฟุตบอลนั้นรุนแรงเกินไป และเขากลัวว่าหากเกิดแตกหักไป กระดูกสูงวัยของเขาจะไม่ยอมประสานกันติดกันดังเดิม
เขาถูกส่งไปโรงเรียนอนุบาลเมื่อมีอายุห้าปี มีคนสอนให้เขารู้จักศิลปะแปะติดกระดาษเขียวบนกระดาษสีส้ม ขีดเส้นโยงใยแผนที่สี และประดิษฐ์สร้อยคอกระดาษแข็งเส้นแล้วเส้นเล่า เขามักจะสัปหงกไประหว่างนั่งทำงานพวกนี้เสมอ ซึ่งสร้างความรำคาญและหวาดกลัวให้แก่ครูสาวยิ่งนัก เขาจึงโล่งใจเมื่อครูเอาเรื่องไปบ่นกับบิดามารดาของเขา จนเขาต้องออกจากโรงเรียน นายและนางโรเจอร์ บัตทอนบอกแก่เพื่อน ๆ ว่า รู้สึกว่าบุตรชายของตนยังเล็กเกินกว่าจะเข้าโรงเรียน
เมื่อเขาอายุได้สิบสองปี บิดามารดาก็เริ่มคุ้นเคยชินชากับเขา ขนบธรรมเนียมของพ่อแม่กับลูกนั้นแรงกล้ายิ่ง เขาทั้งคู่ไม่รู้สึกอีกแล้วว่าเบนจามินแตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ ยกเว้นจะมีสิ่งผิดปกติแปลกประหลาดมาเตือนให้นึกถึงความจริงนั้น ทว่าหลังจากวันเกิดของเบนจามินผ่านไปสองสามสัปดาห์ วันหนึ่งเบนจามินกำลังมองตัวเองในกระจก และคิดว่าเขาได้ค้นพบอะไรบางอย่างที่น่าอัศจรรย์ใจเข้าแล้ว ถ้านัยน์ตาคู่นี้ไม่ได้เล่นตลก หลังจากมีชีวิตผ่านมาสิบสองปี เส้นผมของเขาได้เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีเทาเงินซ่อนอยู่ภายใต้สีย้อมผม รอยย่นบนใบหน้าที่เคยสานเป็นตาข่ายเริ่มจางหาย ผิวหนังดูดีขึ้นและแน่นตึงขึ้น แถมยังดูมีเลือดฝาด เขาไม่รู้ว่าตาฝาดไปหรือเปล่า รู้แต่ว่าแผ่นหลังของเขาไม่โค้งงออีกแล้ว และสภาพร่างกายแข็งแรงขึ้นกว่าช่วงต้นในชีวิตมาก
‘เป็นไปได้ไหมว่า…’ เขาคิดกับตนเอง แต่ก็ไม่ใคร่กล้าจะคิดต่อ เขาเดินไปหาบิดา “ผมโตแล้ว” เขาบอกอย่างมั่นใจ “ผมอยากจะใส่กางเกงขายาวครับ”
บิดาของเขาไม่ค่อยแน่ใจ ในที่สุดก็พูดว่า “ก็ได้ พ่อไม่แน่ใจนะ อายุสิบสี่เป็นวัยที่จะใส่กางเกงขายาว ลูกเพิ่งสิบสองเอง”
“แต่คุณพ่อก็รู้นี่ครับ” เบนจามินทักท้วง “ว่าผมโตกว่าเด็กๆ รุ่นเดียวกัน”
บิดามองเขาพร้อมกับนึกคาดเดาไปผิด ๆ “เรื่องนั้นพ่อไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นะ” เขาพูด “ตอนอายุสิบสองพ่อก็ตัวใหญ่เท่าลูกน่ะแหละ”
ไม่จริงเลย เพียงแต่โรเจอร์ บัตทอนได้ตกลงกับตัวเองอย่างเงียบ ๆ ว่าเขาจะเชื่อเรื่องความปกติของบุตรชาย
ในที่สุดสองพ่อลูกยอมพบกันครึ่งทาง เบนจามินจะย้อมผมต่อไป และจะพยายามจะเล่นกับเด็กชายวัยเดียวกันให้มากขึ้น จะไม่สวมแว่นตาและถือไม้เท้าเดินตามถนน และสิ่งที่เขาจะได้ตอบแทนจากการยอมอ่อนข้อครั้งนี้คือ กางเกงขายาวชุดแรกในชีวิต
4
ข้าพเจ้าตั้งใจจะเล่าถึงชีวิตของเบนจามิน บัตทอนในช่วงอายุสิบสองปีถึงยี่สิบเอ็ดปีเพียงเล็กน้อย เพียงบันทึกไว้ว่าเป็นช่วงเวลงแห่งการเติบโตที่ผิดปกติก็พอแล้ว เมื่อเบนจามินอายุสิบแปดปี เขาก็ยืนหลังตรงเหมือนชายวัยห้าสิบ ผมเขาขึ้นมากกว่าเดิมและเป็นสีเทาเข้ม เขาก้าวเดินมั่นคงขึ้น เสียงสั่นแตกพร่าหายไป กลายเป็นเสียงทุ้มใส ด้วยเหตุนี้บิดาจึงส่งเขาไปคอนเนคติกัตเพื่อสอบคัดเลือกเข้าวิทยาลัยเยล เบนจามินสอบผ่านและกลายเป็นนักศึกษาใหม่ในปีนั้น
วันที่สามหลังจากสอบเข้าได้ เขาได้จดหมายแจ้งจากนายฮาร์ท นายทะเบียนวิทยาลัย ให้ไปที่สำนักงานเพื่อจัดเตรียมตารางเรียน เบนจามินมองตัวเองในกระจก ตัดสินใจว่าต้องย้อมผมเป็นสีน้ำตาลอีกครั้ง แต่เมื่อค้นหาด้วยความร้อนใจในลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือกลับไม่พบขวดยาย้อมผม เขาจึงนึกได้ว่า น้ำยาหมดไปเมื่อวันก่อนและเขาโยนขวดทิ้งไปแล้ว
เขาคิดหนัก เขาต้องไปแผนกทะเบียนภายในห้านาที ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้แล้ว เขาต้องไปในสภาพที่เป็นอยู่ แล้วเขาก็ทำเช่นนั้น
“อรุณสวัสดิ์ครับ” นายทะเบียนพูดอย่างสุภาพ “คุณมาสอบถามเกี่ยวกับลูกชายหรือครับ”
“เอ้อ อันที่จริง ผมชื่อบัตทอน” เบนจามินเริ่มพูด แต่นายฮาร์ทพูดตัดบท
“ยินดีที่ได้พบครับ คุณบัตทอน หวังว่าลูกชายของคุณคงจะมาถึงอีกไม่กี่อึดใจนี้แล้ว”
“ก็ผมไงล่ะครับ” เบนจามินโพล่งออกไป “ผมคือนักศึกษาใหม่”
“ว่าไงนะ”
“ผมเป็นนักศึกษาใหม่ครับ”
“คุณทำตลกแน่เลยครับ”
“คุณคงพูดเล่นล่ะสิครับ”
นายทะเบียนขมวดคิ้วมุ่นและมองตรวจบัตรตรงหน้า “นี่ไง ข้อมูลผมบอกไว้ตรงนี้ว่านายเบนจามิน บัตทอนอายุสิบแปดปี”
“นั่นแหละอายุผม” เบนจามินคงยืนยัน หน้าแดงเล็กน้อย
นายทะเบียนจ้องมองหน้าเขาอย่างเหนื่อยหน่าย “นี่แน่ะ คุณบัตทอน คิดหรือว่าผมจะเชื่อคุณ”
เบนจามินยิ้มอย่างอ่อนใจ “ผมอายุสิบแปด” เขากล่าวซ้ำ
นายทะเบียนหน้าตาถมึงทึงและชี้ไปที่ประตู “ออกไปให้พ้น” เขาตะคอก “ออกไปจากวิทยาลัย และออกไปจากเมืองด้วย แกมันคนบ้าอันตราย”
“ผมอายุสิบแปดปีครับ”
นายฮาร์ทเปิดประตู “คิดอะไรของเขา” เขาตะโกนลั่น “ผู้ชายอายุปูนนี้ยังอยากจะเป็นนักศึกษาใหม่ คุณน่ะรึอายุสิบแปดปี เอาล่ะ ผมให้เวลาคุณสิบแปดนาที ออกไปให้พ้นเมืองนี้”
เบนจามิน บัตทอนเดินตัวตรงเชิดหน้าออกจากห้องนั้น นักศึกษากลุ่มหนึ่งซึ่งยืนคอยอยู่ในห้องโถงมองตามด้วยความสงสัย เมื่อเดินออกไปได้เล็กน้อย เขาหันหลังกลับ มองหน้านายทะเบียนผู้เดือดดาลที่ยังยืนอยู่ตรงประตู เขาพูดย้ำหนักแน่นอีกครั้งว่า “ผมอายุสิบแปดปี”
เบนจามินเดินจากไปท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของนักศึกษากลุ่มนั้น
แต่ชะตากรรมไม่ปล่อยให้เขาหนีไปได้ง่าย ๆ ขณะที่เดินระทดระท้อไปยังสถานีรถไฟ เขารู้ตัวว่าข้างหลังเขาคนกลุ่มหนึ่งตามมา ต่อมาก็กลายเป็นกลุ่มใหญ่ และในที่สุดเป็นฝูงนักศึกษาปริญญาตรีกลุ่มมหึมา ข่าวแพร่สะพัดไปว่าคนบ้าสอบผ่านเข้าศึกษาต่อในเยลได้และพยายามตบตาว่าตนเองอายุสิบแปดปี ทั่วทั้งวิทยาลัยจึงแตกตื่นโกลาหล พวกนักศึกษาต่างวิ่งออกจากห้องเรียนจนลืมหมวก ทีมอเมริกันฟุตบอลทิ้งการซ้อมมาร่วมเดินขบวน บรรดาภรรยาอาจารย์ปล่อยให้หมวกบิดเบี้ยว พากันร้องตะโกนตามหลังขบวนด้วยความลืมตัว เสียงกล่าวขานวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ นานาดังขึ้นไม่ขาดสาย โดยพุ่งเป้าไปที่จุดอ่อนไหวของเบนจามิน บัตทอน
“พวกยิวพเนจรแหงๆ”
“อายุแค่นี้ น่าจะไปเรียนเตรียมอุดมมากกว่า”
“เฮ้ย ดูทารกมหัศจรรย์สิ”
“แกคงนึกว่าที่นี่เป็นบ้านพักคนชราน่ะ”
“ไปฮาวาร์ดโน่นไป๊”
เบนจามินเร่งฝีเท้าขึ้น แล้วในไม่ช้าก็เปลี่ยนเป็นวิ่ง เขาจะให้คนพวกนี้ได้เห็น เขาจะไปเข้าฮาวาร์ด คนพวกนี้จะต้องเสียใจที่รู้ไม่จริงแล้วมาล้อเลียนเขา
เขาขึ้นรถไฟไปบัลติมอร์ได้โดยปลอดภัย แล้วยื่นศีรษะออกไปนอกหน้าต่าง ตะโกนว่า “แล้วพวกคุณจะเสียใจ”
“ฮ่า-ฮ่า” พวกนักศึกษาหัวเราะ “ฮ่า-ฮ่า-ฮ่า” ก็นี่แหละความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงที่สุดของวิทยาลัยเยล
โปรดติดตามตอนต่อไป
จะมีตอนจบมั้ยค่ะ
ตอบลบ