ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

เริ่มเรื่องนิทานเวตาล

นิทานเวตาล...
เรื่องราวมันเป็นยังไง มายังไง? เวตาลกับพระวิกรมาฑิตย์มาเจอกันเพราะอะไร? แล้วทำไมเวตาลถึงเล่านิทานตั้งหลายเรื่องให้พระวิกรมาฑิตย์ฟัง?
ถ้าคุณอยากรู้คำตอบเหล่านี้...
ต้องอ่าน!!
(หมายถึงอ่านบทความของข้าพเจ้าน่ะ)
ปล. ถ้าตั้งใจอ่านจะดีกับตัวคุณ (และตัวข้าพเจ้า) มั่กๆ เลย  *_______*)b
       ท่องไว้ลูก เกรดสี่...เกรดสี่... (เรื่องเวตาลออกเยอะด้วยนะบอกให้)
เวตาลปัญจวิงศติ
(ชื่อนิทานเวตาลที่เป็นภาษาบาลีสันสกฤตเด้อค่ะ   )
            เป็นปีศาจชั่วร้ายพวกหนึ่ง ซึ่งหากินอยู่ในสุสาน และสิงสู่อยู่ในศพโดยทั่วไป ว่ากันถึงรูปร่างหน้าตาของเวตาล ในวรรณคดีของอินเดียภาคใต้กล่าวไว้ว่า เวตาลได้รับการเคารพนับถือว่าเป็นภูตที่มีหน้าที่ให้ความคุ้มครองดูและประชาชนในท้องถิ่น ตั้งแต่ที่ราบสูงเด็กข่าน เรื่อยลงมาทางภาคใต้ เวตาลมักจะปรากฎรูปร่างเป็นมนุษย์ แต่มือและเท้าหันกลับไปทางด้านหลัง นัยน์ตาเป็นสีลานแกมเขียว มีเส้นผมตั้งชันทั้งศีรษะ มือขวาถือไม้เท้า มือซ้ายถือหอยสังข์ ขณะเมื่อมาปรากฎตัวจะนุ่งห่มเสื้อผ้าสีเขียวทั้งชุด นั่งมาบนเสลี่ยงบางคราวก็ขี่ม้า มีภูตบริวารถือคบเพลิงแวดล้อมโดยรอบ และส่งเสียงโห่ร้องกึกก้อง รูปเคารพของเวตาลที่ใช้เป็นรูปบูชามักทำด้วยหินทาสีแดง บนส่วนยอดของแท่งหินแกะสลักเป็นรูปหน้าคน
             โอม ขอชัยชนะจงมีแด่พระคเณศ พระผู้ซึ่งขณะฟ้อนรำได้ยังปวงดาราให้พรั่งพรูลงจากฟากฟ้าราวกับสายธารแห่งบุปผามาลัย ด้วยแรงลมเป่า จากปลายงวงของพระองค์แม้เพียงเล็กน้อย
             ณ ฝั่งแม่น้ำโคทาวรี มีพระมหานครแห่งหนึ่งตั้งอยู่นามว่า ประดิษฐาน ที่เมืองนี้ในสมัยบรรพกาลมีพระราชาธิบดีองค์หนึ่ง ทรงนามว่า ตริวิกรมเสน ได้ครองราไชศวรรย์มาด้วยความผาสุก พระองค์เป็นราชโอรสของพระเจ้าวิกรมเสนผู้ทรงเดชานุภาพเทียมท้าววัชรินทร์
           ทุก ๆ วัน เมื่อพระราชาเสด็จออกว่าราชการ ณ ท้องพระโรงธารคำนัล จะมีนักบวชชื่อ ศานติศีล เข้ามาเฝ้าถวายความเคารพ แล้วถวายผลไม้ผลหนึ่งและทุก ๆวัน พระราชาก็ได้ประทานผลไม้นั้นแก่ขุนคลังผู้อยู่ใกล้ชิดให้เอาไปเก็บไว้ ด้วยประการฉะนี้แล กาลเวลาก็ผ่านไปนับสิบปี
           อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อโยคีศานติศีลเข้ามาเฝ้าถวายผลไม้เช่นเคย แล้วทูลลากลับไป พระราชาทรงยื่นผลไม้นั้นแก่ลิงตัวหนึ่งซึ่งทรงเลี้ยงไว้ในตำหนัก และหนีคนเลี้ยงเข้ามาวิ่งเล่นอยู่ในท้องพระโรง ลิงรับผลไม้แล้วเอาเข้าปากขบกัด ทำให้เปลือกผลไม้ฉีกออก ทันใดนั้นเพชรมณีอันงามและมีค่าหามิได้ก็ร่วงตกลงมาเป็นประกายระยิบระยับ พระราชาทรงหยิบมณีเม็ดนั้นขึ้นมาพิจารณาและตรัสแก่โกศาธิบดีว่า
           "นี่แนะขุนคลัง เจ้าจำได้ไหมว่าข้าเคยมอบผลไม้ของโยคีให้แก่เจ้าทุก ๆ วัน ป่านนี้ก็คงจะมีจำนวนมากโขอยู่ เจ้าเอาไปเก็บไว้ที่ไหนเล่า"
           ได้ฟังรับสั่งดังนั้น ขุนคลังก็เกิดความตระหนกเป็นล้นพ้น อึกอักกราบทูลว่า "ข้าแต่มหิบาล ขอทรงอภัยด้วยเถิด ข้าพระบาทคิดว่าเป็นผลไม้ธรรมดาก็เลยไม่ได้เอาใจใส่ ได้รับมาครั้งใดก็โยนเข้าไปในหน้าต่างท้องพระคลัง ป่านนี้จะเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ ข้าพระองค์ขอเปิดประตูคลังดูก่อน" โกศาธิบดีกราบทูลแล้วรีบวิ่งมาที่พระคลัง เปิดประตูออกดูภายในครู่หนึ่งก็รีบกลับมาทูลว่า
           "โอ นฤบดี ผลไม้ดังกล่าวนั้นเปื่อยเน่าไปหมดแล้ว เหลือแต่เมล็ดคือ ดวงแก้วมณีกองเป็นภูเขาเลากาเต็มไปหมด ส่องแสงระยิบระยับไปทั้งห้องพระเจ้าข้า"
           พระราชาได้ฟังดังนั้นก็ตรัสว่า
           "สมบัติของข้าในท้องพระคลังก็มีมากมายเหลือที่จะคณานับ ข้าจะปรารถนาอะไรกับอนรรฆมณีเหล่านั้น ข้าขอมอบให้แก่เจ้าทั้งหมด จงเอาไปเถิด"
           วันรุ่งขึ้น เมื่อเสด็จออกท้องพระโรง ทอดพระเตรเห็นโยคีศานติศีลเข้ามาเฝ้า จึงตรัสว่า
           "ดูก่อนมุนี ท่านมาหาเราทุกวัน เอามณีจินดาค่าควรเมืองนับไม่ถ้วนมาให้แก่เรา ท่านมีความประสงค์อะไร จงบอกมาตามจริง ถ้าท่านยังไม่บอกเรา วันนี้เราก็จะไม่รับผลไม้จากท่าน"
           โยคีได้ฟังก็ตอบว่า
           "ข้าพเจ้ากำลังจะประกอบมหายัญพิธีอันสำคัญยิ่งอย่างหนึ่ง ซึ่งจะทำสำเร็จไม่ได้เลย ถ้าไม่ได้บุรุษสุดกล้าหาญอย่างท่านมาช่วยเหลือ ขอทรงเมตตาเถิด โอ ราชะ"
           พระราชาได้ฟังก็ตรัสว่า
           "ท่านโยคี ข้ายินดีจะช่วยเหลือท่านทุกอย่าง จะให้ทำอะไรก็บอกมาเถิด"
           "โอ วิศามบดี ข้าพเจ้ายินดีนัก" โยคีศานติศีลกล่าว "ข้าพเจ้าจะรอพระองค์อยู่ที่สุสานนอกเมืองเมื่อถึงข้างแรมคืนแรกแห่งกาฬปักษ์ พระองค์จงมาพบข้าพเจ้าในเวลาค่ำที่บริเวณใต้ต้นไทรเถิด อย่าทรงลืมเป็นอันขาด"
           พระราชาทรงยินยอม ตรัสว่า "เอาเถิด ข้าจะไปตามนัด"
           โยคี เมื่อได้รับคำสัญญาของพระราชา ก็ทูลลากลับไปด้วยความยินดี
           ฝ่ายพระราชาผู้มหาวีระ ครั้นถึงวันแรมแรกก็เสด็จออกจากวัง ทรงแต่งพระองค์อย่างรัดกุม โพกพระเศียรด้วยผ้าสีดำ ทรงเลาะเร้นไปตามทางโดยไม่มีผู้พบเห็น จนกระทั่งบรรลุถึงสุสานนอกเมืองตามที่นัดหมาย บริเวณนั้นมืดด้วยเงาแมกไม้ ปรากฎเพียงตะคุ่ม ๆ ในที่สุดก็มาถึงที่ใกล้จิตกาธานอันสว่างวอมแวมด้วยไฟที่่เผาไหม้ซากอสุภอยู่ บางส่วนก็เหลือเพียงโครงกระดูกและกะโหลกศีรษะเรี่ยรายอยู่ ทำให้เกิดความสะพรึงกลัวแก่ผู้ได้พบเห็นยิ่งนัก ณ ที่นั้นมีพวกภูตและเหล่าเวตาลลอยอยู่เกลื่อน บ้างก็ยื้อแย่งกินศพอันชวนให้สะอิดสะเอียนเหียนราก เสียงหมาไนหอนโหยหวนอยู่ในที่ใกล้เคียงเหมือนเสียงปีศาจมาหลอกหลอน รวมแล้วความสยดสยองทั้งหลายที่ปรากฎก็เป็นประดุจการมาเยือนของพระไภรวะ (พระศิวะหรือพระอิศวร ปางดุร้าย) นั่นเทียว
           จากนั้นพระราชาทรงค้นหาสำนักของโยคีศานติศีลจนพบที่ใต้ต้นไทรใหญ่ อันมีรากย้อยระย้า จึงเสด็จเข้าไปหา ตรัสว่า
           "ข้ามาแล้ว ท่านโยคีจะให้ข้าทำอะไรเล่า"
           เมื่อโยคีเห็นพระราชาเสด็จมาตามสัญญาก็ดีใจ กล่าวว่า
           "โอ ราชะ ข้าพเจ้าเห็นแล้วจากพระเนตรของพระองค์ว่า ทรงมีเมตตาต่อข้าพเจ้า ทรงฟังเถิด ถ้าพระองค์เสด็จจากนี่ไปทางทิศใต้ไม่ไกลนัก จะทรงพบต้นอโศกต้นหนึ่ง บนกิ่งอโศกมีศพชายคนหนึ่งแขวนอยู่ ขอให้นำศพนั้นมาให้ข้าพเจ้า นั่นแหละคืองานที่ข้าพเจ้าต้องการจะให้พระองค์ช่วยเหลือ โอ มหาวีระ"
           ทันทีที่วีรกษัตริย์ผู้มั่นคงต่อคำสัญญาได้ยินถ้อยคำดังกล่าว ก็ทรงกล่าวแก่โยคีว่า "ข้าจะทำตามคำของท่าน" แล้วเสด็จไปทางทิศใต้ ครู่หนึ่งก็มาถึงที่อันอยู่ไม่ไกลจากกองไฟที่ใกล้จะมอด แลเห็นต้นอโศกอยู่บริเวณนั้น บนกิ่งอโศกมีศพชายผู้หนึ่งแขวนอยู่ราวกับห้อยลงมาจากบ่าของอสุรกาย พระราชาทรงปีนต้นอโศกขึ้นไปปลดเอาศพลงมาอย่างยากเย็นและเหวี่ยงมันลงบนพื้นดิน ทันทีที่ร่างนั้นกระทบแผ่นดินมันก็หวีดร้องราวกับเจ็บปวดเต็มที่ พระราชาทรงคิดว่าร่างนั้นมีชีวิต ก็ปีนลงมาจากต้นอโศกเข้าประคองเอาไว้ ทรงนวดเฟ้นร่างนั้นด้วยความกรุณาเพื่อให้คลายเจ็บ ทันใดนั้นศพก็กรีดเสียงหัวเราะเยือกเย็นราวกับเสียงภูตผี พระราชาทรงทราบได้ทันทีว่าศพนั้นถูกเวตาลสิงอยู่ จึงถามมันว่า "เจ้าหัวเราะอะไร อย่ามัวชักช้าอยู่เลย รีบไปกันเถอะ" ทันใดนั้นเอง ศพที่เวตาลเข้าสิง ก็ลอยกลับขึ้นไปห้อยอยู่บนกิ่งอโศกตามเดิม พระราชาเห็นดังนั้น ก็รีบปีนขึ้นไปดึงเอาศพนั้นลงมาแล้วเหวี่ยงขึ้นบ่า เสด็จไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่เสด็จมาตามทาง เวตาลในร่างของศพที่พาดบ่าอยู่ก็กล่าวแก่พระราชาว่า
           "โอ ราชัน ข้าจะเล่านิทานสนุก ๆ ให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง ระหว่างทางจะได้ไม่เบื่อ โปรดทรงสดับเถิด และเมื่อฟังแล้วอย่าได้ตรัสอะไรเลย"




ขอขอบพระคุณ คุณผู้อ่านทุกท่านอย่างสุดซึ้ง T____T
ที่มีความกรุณา อ่านบทความของข้าพเจ้าตั้งแต่ต้นจนจบ ...ซึ้งใจ TT
(ทางการไปมั๊ย?)

เรื่องย่อนิทานเวตาล

เรื่องย่อนิทานเวตาล

อ่านๆ กันซะ (ใกล้สอบแล้วนะ)


          ณ ฝั่งแม่น้ำโคทาวรี มีพระมหานครแห่งหนึ่งตั้งอยู่นามว่า ประดิษฐาน ที่เมืองนี้ในสมัยบรรพกาลมีพระราชาธิบดีองค์หนึ่ง ทรงนามว่า ตริวิกรมเสน ได้ครองราไชศวรรย์มาด้วยความผาสุก พระองค์เป็นราชโอรสของพระเจ้าวิกรมเสนผู้ทรงเดชานุภาพเทียมท้าววัชรินทร์ 
          ต่อมาได้มีนักบวชชื่อ ศานติศีล ได้นำผลไม้มาถวายทุกวันมิได้ขาด ซึ่งพระราชาแปลกใจ และได้ไปพบในคืนหนึ่งตามนัด ได้ถามถึงเหตุผลและเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ โยคีศานติศีลจอมเจ้าเล่ห์ได้ขอให้พระราชาตริวิกรมเสนนำเวตาลมาให้ตนเพื่อจะประกอบมหายัญพิธี
          พระราชาผู้มีสัจจะเป็นมั่น ได้ไปนำเวตาลมาให้โยคีเจ้าเล่ห์ แต่เวตาลก็พยายามหน่วงเหนี่ยวด้วยการเล่านิทานทั้งสิ้น ๒๔ เรื่องด้วยกัน ซึ่งแต่ละเรื่องจะมีคำถามให้พระราชาตอบ โดยมีข้อแม้ว่า หากพระราชาทราบคำตอบแล้วไม่ตอบ ศีรษะของพระราชาจะต้องหลุดจากบ่า และหากพระราชาเอ่ยปากพูดเวตาลก็จะกลับไปสู่ที่เดิม
          และก็เป็นดังนั้นทุกครั้ง ที่พระราชาตอบคำถามของเวตาล เวตาลก็จะหายกลับไปสู่ต้นไม้ที่สิงที่เดิม พระราชาก็จะเสด็จกลับไปเอาตัวเวตาลทุกครั้งไป จนเรื่องสุดท้ายพระราชาไม่ทราบคำตอบ ก็ทรงเงียบไม่พูด เวตาลพอใจในตัวพระราชามาก เพราะเป็นพระราชาผู้ไม่ย่อท้อ ผู้มีความกล้าหาญ ทำให้เวตาลบอกความจริงในความคิดของโยคีเจ้าเล่ห์ ว่าโยคีนั้นแท้จริงแล้ว ต้องการตำแหน่งราชาแห่งวิทยาธร โดยจะเอาพระราชาเป็นเครื่องสังเวยในการทำพิธี และอธิบายถึงวิธีกำจัดโยคีเจ้าเล่ห์
          เมื่อพระราชาเสด็จมาถึงโยคีตามที่นัดหมายไว้ ก็ปรากฎว่าโยคีได้เตรียมการทำอย่างที่เวตาลได้บอกกับพระราชาไว้ พระราชาจึงแก้โดยทำตามที่เวตาลได้อธิบายให้พระราชาฟัง พระราชาจึงได้ตำแหน่งราชาแห่งวิทยาธร และเวตาลได้บอกกับพระราชาตริวิกรมเสนว่า "ตำแหน่งนี้ได้มาเพราะความดีของพระองค์ ตำแหน่งนี้จะคอยพระองค์อยู่หลังจากที่ทรงเสวยสุขในโลกมนุษย์จนสิ้นอายุขัยแล้ว ข้าขอโทษในกาลที่แล้วมาในการที่ยั่วยวนประสาทพระองค์ แต่ก็ไม่ทรงถือโกรธต่อข้า บัดนี้ข้าจะถวายพรแก่พระองค์ ขอทรงเลือกอะไรก็ได้ตามใจปรารถนาเถิด" พระราชาก็ตรัสว่า "เพราะเหตุที่เจ้ายินดีต่อข้า และข้าก็ยินดีในความมีน้ำใจของเจ้าเช่นเดียวกัน พรอันใดที่ข้าจะปรารถนาก็เป็นอันสมบูรณ์แล้ว ข้าเพียงแต่อยากจะขออะไรสักอย่างเป็นที่ระลึกระหว่างข้ากับเจ้า นั่นก็คือนิทานที่เจ้ายกปัญหามาถามข้าถึงยี่สิบสี่เรื่อง และคำตอบของข้าก็ให้ไปแล้วเช่นเดียวกัน แลครั้งที่ยี่สิบห้าคือวันนี้ถือเป็นบทสรุป แสดงอวสานของเรื่อง ขอให้นิทานชุดนี้จงมีเกียรติแพร่กำจายไปในโลกกว้าง”
          เวตาลก็สนองตอบว่า “ขอจงสำเร็จ โอ ราชะ บัดนี้จงฟังเถิด ข้าจะกล่าวถึงคุณสมบัติที่ดีเด่นของนิทานชุดนี้ สร้อยนิทานอันร้อยรัดเข้าด้วยกันดังสร้อยมณีสายนี้ ประกอบด้วยยี่สิบสี่เรื่องเบื้องต้น แลมาถึงบทที่ยี่สิบห้า อันเป็นบทสรุปส่งท้าย นับเป็นปริโยสาน นิทานชุดนี้จงเป็นที่รู้จักกันในนามของเวตาลปัญจวิงศติ (นิทานยี่สิบห้าเรื่องของเวตาล) จงมีเกียรติยศบันลือไปในโลก และนำความเจริญมาสู่ผู้อ่านทุกคน ใครก็ตามที่อ่านหนังสือแม้แต่โศลกเดียว หรือเป็นผู้ฟังเขาอ่านก็เช่นเดียวกัน จักรอดจากคำสาปทั้งมวล บรรดาอมนุษย์ทั้งหลาย มียักษ์ เวตาล กุษมาณฑ์ แม่มด หมอผีและรากษส ตลอดจนสัตว์โลกประเภทเดียวกันนี้ จงสิ้นฤทธิ์เดชเมื่อได้ยินใครอ่านนิทาน อันศักดิ์สิทธิ์นี้”
          พระศิวะได้ฟังเรื่องของต่าง ๆ ของเวตาลจบก็กล่าวชื่นชมในองค์พระราชาตริวิเสนมาก ซึ่งพระศิวะได้สร้างจากอนุภาคโดยให้มาปราบอสูรคนร้ายต่าง ๆ เมื่อพระราชาตริวิกรมเสนได้เป็นจอมราชันแห่งวิทยาธรทั้งโลกและสวรรค์แล้ว ก็เกิดความเบื่อหน่าย หันไปบำเพ็ญทางธรรมจนบรรลุความหลุดพ้น

ปล.ใครที่อ่านมาตั้งแต่ต้นจนจบ ขอให้เทอมนี้สอบได้เกรดสี่กันทุกๆ คนเลยนะ =)

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

เรื่องประหลาดของเบนจามิน บัตทอน : สกอตต์ ฟิตซ์เจอโรลด์ (ตอนที่ 3 - 4)


มาแล้วๆ ตอนที่ 3 กับตอนที่ 4 จ้า^^
3




สมาชิกใหม่ในครอบครัวบัตทอนอุตส่าห์ตัดผมที่มีอยู่หรอมแหรมจนสั้น ย้อมด้วยสีดำผิดธรรมชาติ หนวดเคราบนหน้าถูกโกนเกลี้ยงเกลาจนเป็นเงาวับ และสวมใส่เสื้อผ้าเด็กชายที่ตัดโดยช่างเสื้อผู้ตกตะลึงจังงัง ทว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่ครอบครัวบัตทอนจะเพิกเฉยต่อความจริงที่ว่า บุตรชายของตนมีข้อตำหนิ ไม่สมกับเป็นบุตรคนหัวปีของครอบครัวเอาเสียเลย แม้ว่าหลังของเขาจะงองุ้มเยี่ยงชายชรา แต่เบนจามิน บัตทอน (เขาได้ชื่อนี้มาแทนชื่อน่าเกลียดว่าเมดูเซลาห์) ก็สูงถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่ไม่ได้ช่วยปกปิดเรื่องนี้ และถึงจะเล็มตัดและย้อมขนคิ้วอย่างไร ก็ไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ว่าภายใต้ขนคิ้วนั้นคือดวงตาอ่อนล้าซีดเซียวและแฉะไปด้วยน้ำ พี่เลี้ยงเด็กที่จ้างไว้ล่วงหน้าเหลือบดูเบนจามินครั้งเดียวก็เปิดแจ้นกลับไป ทำท่ารังเกียจยังกับอะไรดี

แต่นายบัตทอนยังคงยืนยันจุดประสงค์อย่างไม่เปลี่ยนแปลง เบนจามินเป็นทารก จึงต้องทำตัวให้เหมือนเด็กทารก ครั้งแรกเขาประกาศว่าหากเบนจามินไม่ชอบดื่มนมอุ่น งั้นก็ไม่ต้องกินอะไรเลย แต่ในที่สุดเขาก็ประนีประนอม อนุญาตให้บุตรชายรับประทานขนมปังทาเนย ยอมถึงขนาดให้กินข้าวโอ๊ตด้วย วันหนึ่งเขากลับบ้าน ส่งของเล่นเด็กที่เขย่าเสียงดังเผาะแผะให้เบนจามิน คาดคั้นเสียงเฉียบขาดให้ลูก ‘เล่นมัน’ ซึ่งชายชราก็รับไปด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย จากนั้นก็เล่นอย่างว่าง่าย ทำเสียงกรุ๋งกริ๋งมาให้ได้ยินเป็นระยะ ๆ ตลอดวัน

แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเบื่อของเล่นนั้น และเมื่อได้อยู่ตามลำพังเขาก็พบของเล่นอื่นซึ่งช่วยผ่อนคลายอารมณ์ได้ดีกว่า อย่างเช่น วันหนึ่งนายบัตทอนค้นพบว่าสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นเขาสูบซิการ์หมดไปมากผิดปกติ น่าพิศวงยิ่งนัก แต่สองสามวันต่อมาเขาก็ได้รู้ที่มาที่ไป เมื่อเขาเข้าไปในห้องเด็กโดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า ห้องนั้นคลุ้งไปด้วยควันสีฟ้าอ่อน ๆ เบนจามินทำหน้าสำนึกผิดและพยายามซ่อนก้นซิการ์ฮาวานาสีดำไว้

แน่นอนว่าเรื่องนี้สมควรต้องลงโทษด้วยการหวดก้นให้เข็ดหลาบ แต่นายบัตทอนพบว่าเขาทำไม่ลง เขาจึงได้แต่เตือนบุตรชายว่าซิการ์นั้นจะ ‘ทำให้ลูกไม่โต’

อย่างไรก็ตาม นายบัตทอนยังคงมุ่งมั่นในความคิด เขาซื้อตุ๊กตาทหารทำด้วยตะกั่ว รถไฟเด็กเล่น ตุ๊กตาสัตว์ตัวใหญ่ทำด้วยผ้าฝ้ายมาให้บุตรชาย และเพื่อให้สมบูรณ์แบบ ให้ครบเครื่องภาพลวงตาที่อย่างน้อยเขาก็รังสรรค์ขึ้นเพื่อตัวเขาเอง เขาถามพนักงานในร้านขายตุ๊กตาด้วยสุ้มเสียงวิตกกังวลว่า “เป็ดสีชมพูตัวนี้ สีจะลอกไหมถ้าเด็กเอาเข้าปาก” กระนั้น ถึงแม้บิดาจะพยายามหว่านล้อมสารพัดวิธีอย่างไร เบนจามินก็ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจของเล่น พ่อลูกชายจะแอบลงไปทางบันไดด้านหลัง และกลับขึ้นมาห้องเด็กพร้อมหนังสือสารานุกรมเอนบริเทนนิกา แล้วบ่ายวันนั้นทั้งวันก็จะนั่งตั้งอกตั้งใจอ่านอย่างมุ่งมั่น ไม่แยแสตุ๊กตาแม่วัวกับเรือโนอาห์ที่ถูกทิ้งอยู่บนพื้นห้อง

เมื่อมาเจอความดื้อรั้นขนาดนี้ ความพยายามของนายบัตทอนจึงได้ผลน้อยเหลือเกิน

ตอนแรกนั้น เรื่องนี้สร้างความแตกตื่นสนใจใหญ่หลวงในเมืองบัลติมอร์ ความเสื่อมเสียชื่อเสียงในสังคมที่จะเกิดกับครอบครัวบัตทอนและวงศาคณาญาติทั้งหลายคงไม่อาจประมาณได้ หากไม่มีสงครามกลางเมืองระเบิดขึ้นและดึงดูดเอาความสนใจของผู้คนไปหมด มีบางคนที่พยายามเค้นสมองหาคำยกยอแสนสุภาพมอบให้แก่บิดามารดาของเด็ก และในที่สุดก็บังเกิดความคิดจากสมองชาญฉลาดนั้นว่า ทารกนั้นมีความละม้ายคล้ายปู่อยู่ไม่น้อย ซึ่งก็เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะร่างกายที่เสื่อมถอยด้วยวัยชราของเบนจามินนั้น ก็เหมือนกับลักษณะชายวัยเจ็ดสิบทั้งหลายนั่นเอง นายและนางโรเจอร์ บัตทอนไม่รู้สึกยินดีกับคำชม และผู้เป็นปู่ของเบนจามินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟที่ถูกหมิ่นประมาทเช่นนั้น

เมื่อออกจากโรงพยาบาล เบนจามินก็ใช้ชีวิตไปตามครรลอง มีคนพาเด็กชายเล็ก ๆ หลายคนมาให้พบปะพูดคุย เขาก็สู้ทนฝืนข้อต่อที่ยึดตึง กระตุ้นตัวเองให้สนุกกับลูกข่างและลูกหินอยู่ทั้งบ่าย และถึงกับใช้หนังสติ๊กยิงกระจกบานหน้าต่างห้องครัวแตกได้โดยบังเอิญ ซึ่งชัยชนะนี้ทำให้บิดาของเขาแอบดีใจอยู่เงียบ ๆ

หลังจากวันนั้นเบนจามินมีเรื่องทำของแตกทุกวัน ทว่าเขาทำเช่นนั้นเพราะรู้ว่าทุกคนคาดหวังให้เขาทำ และนิสัยของเขาก็เป็นคนชอบโอนอ่อนตามคนอื่นอยู่แล้ว

ครั้นเมื่อความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ของปู่เบาบางลง เบนจามินกับสุภาพบุรุษชราก็ใช้เวลาอยู่ด้วยกันด้วยความสุข ทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกันคราวละหลายชั่วโมง แม้จะต่างด้วยวัยและประสบการณ์ แต่สามารถพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงราบเรียบถึงเหตุการณ์ในแต่ละวันที่ผ่านไปอย่างช้า ๆ โดยไม่รู้สึกเบื่อหน่าย เบนจามินรู้สึกสบายใจที่จะอยู่กับปู่มากกว่าบิดามารดา เพราะทั้งสองคนดูจะเกรงกลัวเขาอยู่ และแม้จะชอบใช้อำนาจบังคับเขา แต่บ่อยครั้งกลับเรียกเขาโดยมีคำนำหน้าว่า ‘คุณ’

เขาเองรู้สึกแปลกประหลาดใจเช่นเดียวกับผู้อื่น ในเรื่องที่เขาชราทั้งจิตใจและร่างกายตั้งแต่แรกเกิด เขาอ่านเรื่องนี้ในวารสารการแพทย์ แต่ไม่พบว่าเคยมีบันทึกถึงกรณีเช่นนี้ ด้วยแรงกระตุ้นจากบิดา เขาลองพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเล่นกับเด็กชายคนอื่น ๆ และมักเล่นกีฬาเบา ๆ ส่วนเกมฟุตบอลนั้นรุนแรงเกินไป และเขากลัวว่าหากเกิดแตกหักไป กระดูกสูงวัยของเขาจะไม่ยอมประสานกันติดกันดังเดิม

เขาถูกส่งไปโรงเรียนอนุบาลเมื่อมีอายุห้าปี มีคนสอนให้เขารู้จักศิลปะแปะติดกระดาษเขียวบนกระดาษสีส้ม ขีดเส้นโยงใยแผนที่สี และประดิษฐ์สร้อยคอกระดาษแข็งเส้นแล้วเส้นเล่า เขามักจะสัปหงกไประหว่างนั่งทำงานพวกนี้เสมอ ซึ่งสร้างความรำคาญและหวาดกลัวให้แก่ครูสาวยิ่งนัก เขาจึงโล่งใจเมื่อครูเอาเรื่องไปบ่นกับบิดามารดาของเขา จนเขาต้องออกจากโรงเรียน นายและนางโรเจอร์ บัตทอนบอกแก่เพื่อน ๆ ว่า รู้สึกว่าบุตรชายของตนยังเล็กเกินกว่าจะเข้าโรงเรียน

เมื่อเขาอายุได้สิบสองปี บิดามารดาก็เริ่มคุ้นเคยชินชากับเขา ขนบธรรมเนียมของพ่อแม่กับลูกนั้นแรงกล้ายิ่ง เขาทั้งคู่ไม่รู้สึกอีกแล้วว่าเบนจามินแตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ ยกเว้นจะมีสิ่งผิดปกติแปลกประหลาดมาเตือนให้นึกถึงความจริงนั้น ทว่าหลังจากวันเกิดของเบนจามินผ่านไปสองสามสัปดาห์ วันหนึ่งเบนจามินกำลังมองตัวเองในกระจก และคิดว่าเขาได้ค้นพบอะไรบางอย่างที่น่าอัศจรรย์ใจเข้าแล้ว ถ้านัยน์ตาคู่นี้ไม่ได้เล่นตลก หลังจากมีชีวิตผ่านมาสิบสองปี เส้นผมของเขาได้เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีเทาเงินซ่อนอยู่ภายใต้สีย้อมผม รอยย่นบนใบหน้าที่เคยสานเป็นตาข่ายเริ่มจางหาย ผิวหนังดูดีขึ้นและแน่นตึงขึ้น แถมยังดูมีเลือดฝาด เขาไม่รู้ว่าตาฝาดไปหรือเปล่า รู้แต่ว่าแผ่นหลังของเขาไม่โค้งงออีกแล้ว และสภาพร่างกายแข็งแรงขึ้นกว่าช่วงต้นในชีวิตมาก

‘เป็นไปได้ไหมว่า…’ เขาคิดกับตนเอง แต่ก็ไม่ใคร่กล้าจะคิดต่อ เขาเดินไปหาบิดา “ผมโตแล้ว” เขาบอกอย่างมั่นใจ “ผมอยากจะใส่กางเกงขายาวครับ”

บิดาของเขาไม่ค่อยแน่ใจ ในที่สุดก็พูดว่า “ก็ได้ พ่อไม่แน่ใจนะ อายุสิบสี่เป็นวัยที่จะใส่กางเกงขายาว ลูกเพิ่งสิบสองเอง”

“แต่คุณพ่อก็รู้นี่ครับ” เบนจามินทักท้วง “ว่าผมโตกว่าเด็กๆ รุ่นเดียวกัน”

บิดามองเขาพร้อมกับนึกคาดเดาไปผิด ๆ “เรื่องนั้นพ่อไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นะ” เขาพูด “ตอนอายุสิบสองพ่อก็ตัวใหญ่เท่าลูกน่ะแหละ”

ไม่จริงเลย เพียงแต่โรเจอร์ บัตทอนได้ตกลงกับตัวเองอย่างเงียบ ๆ ว่าเขาจะเชื่อเรื่องความปกติของบุตรชาย

ในที่สุดสองพ่อลูกยอมพบกันครึ่งทาง เบนจามินจะย้อมผมต่อไป และจะพยายามจะเล่นกับเด็กชายวัยเดียวกันให้มากขึ้น จะไม่สวมแว่นตาและถือไม้เท้าเดินตามถนน และสิ่งที่เขาจะได้ตอบแทนจากการยอมอ่อนข้อครั้งนี้คือ กางเกงขายาวชุดแรกในชีวิต





4



ข้าพเจ้าตั้งใจจะเล่าถึงชีวิตของเบนจามิน บัตทอนในช่วงอายุสิบสองปีถึงยี่สิบเอ็ดปีเพียงเล็กน้อย เพียงบันทึกไว้ว่าเป็นช่วงเวลงแห่งการเติบโตที่ผิดปกติก็พอแล้ว เมื่อเบนจามินอายุสิบแปดปี เขาก็ยืนหลังตรงเหมือนชายวัยห้าสิบ ผมเขาขึ้นมากกว่าเดิมและเป็นสีเทาเข้ม เขาก้าวเดินมั่นคงขึ้น เสียงสั่นแตกพร่าหายไป กลายเป็นเสียงทุ้มใส ด้วยเหตุนี้บิดาจึงส่งเขาไปคอนเนคติกัตเพื่อสอบคัดเลือกเข้าวิทยาลัยเยล เบนจามินสอบผ่านและกลายเป็นนักศึกษาใหม่ในปีนั้น

วันที่สามหลังจากสอบเข้าได้ เขาได้จดหมายแจ้งจากนายฮาร์ท นายทะเบียนวิทยาลัย ให้ไปที่สำนักงานเพื่อจัดเตรียมตารางเรียน เบนจามินมองตัวเองในกระจก ตัดสินใจว่าต้องย้อมผมเป็นสีน้ำตาลอีกครั้ง แต่เมื่อค้นหาด้วยความร้อนใจในลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือกลับไม่พบขวดยาย้อมผม เขาจึงนึกได้ว่า น้ำยาหมดไปเมื่อวันก่อนและเขาโยนขวดทิ้งไปแล้ว

เขาคิดหนัก เขาต้องไปแผนกทะเบียนภายในห้านาที ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้แล้ว เขาต้องไปในสภาพที่เป็นอยู่ แล้วเขาก็ทำเช่นนั้น

“อรุณสวัสดิ์ครับ” นายทะเบียนพูดอย่างสุภาพ “คุณมาสอบถามเกี่ยวกับลูกชายหรือครับ”

“เอ้อ อันที่จริง ผมชื่อบัตทอน” เบนจามินเริ่มพูด แต่นายฮาร์ทพูดตัดบท

“ยินดีที่ได้พบครับ คุณบัตทอน หวังว่าลูกชายของคุณคงจะมาถึงอีกไม่กี่อึดใจนี้แล้ว”

“ก็ผมไงล่ะครับ” เบนจามินโพล่งออกไป “ผมคือนักศึกษาใหม่”

“ว่าไงนะ”

“ผมเป็นนักศึกษาใหม่ครับ”

“คุณทำตลกแน่เลยครับ”

“คุณคงพูดเล่นล่ะสิครับ”

นายทะเบียนขมวดคิ้วมุ่นและมองตรวจบัตรตรงหน้า “นี่ไง ข้อมูลผมบอกไว้ตรงนี้ว่านายเบนจามิน บัตทอนอายุสิบแปดปี”

“นั่นแหละอายุผม” เบนจามินคงยืนยัน หน้าแดงเล็กน้อย

นายทะเบียนจ้องมองหน้าเขาอย่างเหนื่อยหน่าย “นี่แน่ะ คุณบัตทอน คิดหรือว่าผมจะเชื่อคุณ”

เบนจามินยิ้มอย่างอ่อนใจ “ผมอายุสิบแปด” เขากล่าวซ้ำ

นายทะเบียนหน้าตาถมึงทึงและชี้ไปที่ประตู “ออกไปให้พ้น” เขาตะคอก “ออกไปจากวิทยาลัย และออกไปจากเมืองด้วย แกมันคนบ้าอันตราย”

“ผมอายุสิบแปดปีครับ”

นายฮาร์ทเปิดประตู “คิดอะไรของเขา” เขาตะโกนลั่น “ผู้ชายอายุปูนนี้ยังอยากจะเป็นนักศึกษาใหม่ คุณน่ะรึอายุสิบแปดปี เอาล่ะ ผมให้เวลาคุณสิบแปดนาที ออกไปให้พ้นเมืองนี้”

เบนจามิน บัตทอนเดินตัวตรงเชิดหน้าออกจากห้องนั้น นักศึกษากลุ่มหนึ่งซึ่งยืนคอยอยู่ในห้องโถงมองตามด้วยความสงสัย เมื่อเดินออกไปได้เล็กน้อย เขาหันหลังกลับ มองหน้านายทะเบียนผู้เดือดดาลที่ยังยืนอยู่ตรงประตู เขาพูดย้ำหนักแน่นอีกครั้งว่า “ผมอายุสิบแปดปี”

เบนจามินเดินจากไปท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของนักศึกษากลุ่มนั้น

แต่ชะตากรรมไม่ปล่อยให้เขาหนีไปได้ง่าย ๆ ขณะที่เดินระทดระท้อไปยังสถานีรถไฟ เขารู้ตัวว่าข้างหลังเขาคนกลุ่มหนึ่งตามมา ต่อมาก็กลายเป็นกลุ่มใหญ่ และในที่สุดเป็นฝูงนักศึกษาปริญญาตรีกลุ่มมหึมา ข่าวแพร่สะพัดไปว่าคนบ้าสอบผ่านเข้าศึกษาต่อในเยลได้และพยายามตบตาว่าตนเองอายุสิบแปดปี ทั่วทั้งวิทยาลัยจึงแตกตื่นโกลาหล พวกนักศึกษาต่างวิ่งออกจากห้องเรียนจนลืมหมวก ทีมอเมริกันฟุตบอลทิ้งการซ้อมมาร่วมเดินขบวน บรรดาภรรยาอาจารย์ปล่อยให้หมวกบิดเบี้ยว พากันร้องตะโกนตามหลังขบวนด้วยความลืมตัว เสียงกล่าวขานวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ นานาดังขึ้นไม่ขาดสาย โดยพุ่งเป้าไปที่จุดอ่อนไหวของเบนจามิน บัตทอน

“พวกยิวพเนจรแหงๆ”

“อายุแค่นี้ น่าจะไปเรียนเตรียมอุดมมากกว่า”

“เฮ้ย ดูทารกมหัศจรรย์สิ”

“แกคงนึกว่าที่นี่เป็นบ้านพักคนชราน่ะ”

“ไปฮาวาร์ดโน่นไป๊”

เบนจามินเร่งฝีเท้าขึ้น แล้วในไม่ช้าก็เปลี่ยนเป็นวิ่ง เขาจะให้คนพวกนี้ได้เห็น เขาจะไปเข้าฮาวาร์ด คนพวกนี้จะต้องเสียใจที่รู้ไม่จริงแล้วมาล้อเลียนเขา

เขาขึ้นรถไฟไปบัลติมอร์ได้โดยปลอดภัย แล้วยื่นศีรษะออกไปนอกหน้าต่าง ตะโกนว่า “แล้วพวกคุณจะเสียใจ”

“ฮ่า-ฮ่า” พวกนักศึกษาหัวเราะ “ฮ่า-ฮ่า-ฮ่า” ก็นี่แหละความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงที่สุดของวิทยาลัยเยล

โปรดติดตามตอนต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

เรื่องประหลาดของเบนจามิน บัตทอน : สกอตต์ ฟิตซ์เจอโรลด์

เราไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาใส่ไว้ในบล็อคของตัวเองดี
ก็เลยขอยืมเอาวรรณกรรมแปลของ สกอตต์ ฟิตซ์เจอโรลด์ (Scott Fitzgerald) มา
"เรื่องประหลาดของเบนจามิน บัตทอน"

วรรณกรรมเรื่องนี้ นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้ว
"The Curious Case of Benjamin Button เบนจามิน บัตตัน อัศจรรย์ฅนโลกไม่เคยรู้"
เมื่อปี 2009


(เคยดูกันรึเปล่าเนี่ย?)


 “ผมเกิดมาในสภาวะที่ไม่ปกติ”

 และนั่นเป็นการเริ่มต้นของภาพยนตร์เรื่อง “The Curious Case of Benjamin Button” ซึ่งดัดแปลงจากเรื่องราวของ เอฟ สก๊อต ฟิทซ์เจอราลด์ในปี 1920 ของชายที่เกิดมาด้วยวัยแปดสิบและย้อนอายุถอยหลัง เขาก็เหมือนเราทุกคนที่ไม่สามารถหยุดเวลาได้ จากนิวออร์ลีนส์ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี 1918 จนถึงศตวรรษที่ 21 กับการเดินทางที่ไม่ธรรมดาที่สุดเท่าที่คนๆ หนึ่งจะเป็นไปได้ ภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของชายผู้ที่ไม่เหมือนคนทั่วไป และผู้คนกับสถานที่ๆ เขาได้ค้นพบในช่วงชีวิตเขา ควมรักที่ได้พบพานและสูญเสียไป สีสันความสุขแห่งชีวิตและความโศกเศร้าแห่งความตาย และสิ่งที่คงอยู่เหนือกาลเวลา

เนื้อเรื่องย่อ

ก่อนพายุเฮอร์ริเคนแคทรินาพัดถล่มนิวออร์ลีนส์ หญิงชรา เดซี (เคต บลันเชตต์) นอนอยู่บนเตียงที่โรงพยาบาล มีลูกสาววัยผู้ใหญ่ของเธอ แคโรไลน์ (จูเลีย ออร์มอนด์) อยู่เคียงข้าง เดซี ขอให้ แคโรไลน์ ช่วยอ่านบันทึกส่วนตัวเล่มหนึ่งให้ฟัง มันคือบันทึกส่วนตัวของ เบนจามิน บัตตัน (แบรด พิตต์)

บันทึกส่วนตัวเล่มนั้นเล่าถึงชีวิตอันแปลกพิสดารของเบนจามิน ผู้ซึ่งมีอายุถอยย้อนกลับ เขาเกิดมามีร่างกายเสมือนคนชรา และป่วยเป็นโรคชราหลายต่อหลายโรค จนมีโอกาสเพียงน้อยนิดที่จะรอดชีวิต ทว่าเขาก็รอดมาได้ และยิ่งเด็กลงเรื่อยๆ เมื่อกาลเวลาผ่านพ้นไป

คุณยายของเดซีพักอาศัยอยู่ในสถานดูแลผู้สูงอายุแห่งหนึ่ง เดซีได้พบเบนจามินครั้งแรกที่นั่น แม้จะแยกจากกันไปนานหลายปี แต่เดซีกับเบนจามินก็ยังคงติดต่อกันมาตลอด และได้พบกันอีกครั้งในช่วงอายุขึ้นเลข 4 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อายุของพวกเขาเหมาะเจาะตรงกันพอดี

แคโรไลน์รู้สึกว่าเนื้อหาบางส่วนของบันทึกนั้นอ่านยากยิ่ง โดยเฉพาะส่วนที่บอกเล่าถึงช่วงเวลาที่เบนจามินกับเดซีใช้เวลาอยู่ด้วยกัน และเดซีแก่ชราลงเรื่อยๆ ตามธรรมชาติ ขณะที่เบนจามินดูอ่อนเยาว์ขึ้นทุกที

เราเข้าไปอ่านบทละครในเว็บวรรณกรรมแล้วสนุกมาก
ก็เลยจะเอามาแปะไว้ใน blog

มีทั้งหมด 11 ตอน

ไว้ว่างๆ ค่อยมาอ่านละกัน (เยอะจัด)

ปล.ไหนๆ ก็เข้ามาแล้ว ช่วยคอมเม้นให้เราด้วยก็แล้วกันนะ ^^





เรื่องประหลาดของเบนจามิน บัตทอน

สกอตต์ ฟิตซ์เจอโรลด์



1



สมัยเมื่อปี 1860 โน้น การเกิดที่บ้านถือเป็นเรื่องถูกต้องเหมาะสม ส่วนในสมัยนี้ ข้าพเจ้าได้ฟังมาว่าพวกเทพเบื้องสูงทางการแพทย์พากันประกาศิตว่า เด็กทารกควรจะได้เปล่งเสียงร้องครั้งแรกในท่ามกลางบรรยากาศกรุ่นยาสลบในโรงพยาบาล โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่ทันสมัยล้ำยุค ดังนั้น สองสามีภรรยาหนุ่มสาว นายและนางโรเจอร์ บัตทอน จึงนับได้ว่ามีหัวก้าวหน้าล้ำยุคล้ำสมัยไปห้าสิบปี เพราะพวกเขาตัดสินใจในวันหนึ่งกลางฤดูร้อนปี 1860 ว่าจะคลอดบุตรคนหัวปีในโรงพยาบาล ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าการกระทำผิดยุคผิดสมัยดังว่านี้ ส่งผลต่อเรื่องแปลกประหลาดที่ข้าพเจ้ากำลังจะเล่านี่หรือไม่ ข้าพเจ้าจะเล่าว่าเกิดอะไรขึ้น และปล่อยให้ท่านตัดสินกันเอง

ณ เมืองบัลติมอร์ยุคก่อนเกิดสงครามกลางเมือง สองสามีภรรยาโรเจอร์ บัตทอนอยู่ในฐานะที่น่าอิจฉาทั้งในทางสังคมและทางการเงิน ทั้งคู่เกี่ยวดองสัมพันธ์กับคนตระกูลนี้และคนตระกูลนั้น ซึ่งคนทางใต้ทุกคนรู้กันดีว่า เหตุนี้แหละที่ทำให้คนทั้งสองได้เข้าเป็นสมาชิกชนชั้นสูงที่รวมกันอยู่เป็นชนกลุ่มใหญ่ในสมาพันธรัฐภาคใต้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาทั้งสองจะได้พานพบประสบการณ์การมีบุตร ซึ่งเป็นเรื่องดีงามน่าใหลหลงที่ผู้คนปฏิบัติกันมาแต่โบราณ จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่นายบัตทอนจะตื่นเต้นตกใจ เขาหวังว่าจะได้ลูกชายเพื่อที่จะได้ส่งไปเรียนวิทยาลัยเยลในคอนเนคติกัต อันนายบัตทอนนั้นก็เป็นที่รู้จักอยู่ในสถาบันแห่งนั้นเป็นเวลาสี่ปีด้วยฉายาโดดเด่นว่า “รังดุม”

เช้าวันศักดิ์สิทธิ์ในเดือนกันยายนซึ่งจะเกิดเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ นายบัตทอนตื่นนอนเวลาหกโมงเช้าด้วยความตื่นเต้น แต่งตัวจนดูไม่มีที่ติ แล้วรีบรุดเดินผ่านถนนหลายสายในเมืองบัลติมอร์ตรงไปยังโรงพยาบาล เพื่อจะดูว่าความมืดมิดแห่งราตรีนั้นได้รองรับชีวิตใหม่แล้วหรือยัง

ตอนนั้นเขาอยู่ห่างจาก ‘โรงพยาบาลเอกชนแมรีแลนด์สำหรับสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ’ ประมาณหนึ่งร้อยหลา และมองเห็นนายแพทย์คีน หมอประจำตระกูล กำลังเดินก้าวลงบันไดหน้าโรงพยาบาล ถูทั้งสองไปมาเหมือนกับล้างมือแบบเดียวกับที่นายแพทย์ทั้งหลายทำกัน เหมือนเป็นจรรยาบรรณที่ไม่ได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรของคนอาชีพนี้

นายโรเจอร์ บัตทอน ประธานบริษัท ‘โรเจอร์ บัตทอนและสหาย ขายส่งเครื่องโลหะ’ วิ่งตรงไปหานายแพทย์คีนด้วยทีท่าสง่างามน้อยกว่าลักษณะโดยทั่วไปของสุภาพบุรุษชาวใต้ในยุคสมัยอันงดงามนั้น

“คุณหมอคีนครับ” เขาตะโกนเรียก “โอ คุณหมอคีน”

นายแพทย์ได้ยินเขาเรียก จึงหันหน้ามามองและหยุดยืนคอย ใบหน้าเคร่งเครียดสมกับที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์นั้นมีสีหน้าประหลาดขณะที่นายบัตทอนเดินเข้ามาใกล้

“เกิดอะไรขึ้นครับ” นายบัตทอนถามเมื่อเดินมาถึงด้วยอาการหอบฮั่ก ๆ “เด็กเป็นอย่างไรบ้างครับ ภรรยาผมล่ะครับ เด็กผู้ชายหรือครับ เขาเป็นชายหรือหญิงครับ แล้ว…”

“พูดให้รู้เรื่องหน่อย” นายแพทย์คีนกล่าวเสียงเฉียบขาด ท่าทางออกจะรำคาญ

“เด็กคลอดแล้วยังครับ” นายบัตทอนถามอย่างวิงวอน

นายแพทย์คีนทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “อ๋อ คลอดแล้วสิ คิดว่าอย่างนั้นนะ ทำนองนั้นล่ะ” แล้วเขาก็มองนายบัตทอนอีกครั้งด้วยสีหน้าแสดงความสงสัยระคนประหลาดใจ

“ภรรยาของผมปลอดภัยนะครับ”

“ใช่”

“เด็กเป็นชายหรือหญิงครับ ”

“เอาอย่างนี้นะ” นายแพทย์คีนร้องขึ้นด้วยความรำคาญฉุนเฉียวอย่างจริงจัง “ไปดูด้วยตาตัวเองเถอะ เหลือเชื่อจริงๆ” คำพูดสุดท้ายเขาตะคอกใส่จนเสียงสั้นเกือบเป็นพยางค์เดียว จากนั้นเขาหันหน้าหนี พูดงึมงำในลำคอ “คิดว่ากรณีแบบนี้จะช่วยสร้างชื่อเสียงทางการงานฉันเรอะ ถ้าขืนเจอแบบนี้อีกรายเดียว ฉันเป็นจอดแน่ เป็นใครก็จอดทั้งนั้น”

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ” นายบัตทอนรู้สึกใจหายถามขึ้นว่า “แฝดสามคนหรือครับ”

“ไม่ ไม่ใช่แฝดสาม” นายแพทย์ตอบอย่างไม่รักษาน้ำใจ “จะรออะไรอีกล่ะ ไปดูด้วยตัวเองสิ และไปหาหมอคนอื่นได้แล้ว ฉันทำคลอดเธอมากับมือนะ พ่อหนุ่ม แล้วยังเป็นหมอให้ครอบครัวเธอมาสี่สิบปี แต่พอกันที ฉันไม่ต้องการพบเธอหรือวงศาคณาญาติของเธออีก ลากันที”

จากนั้นเขากลับหลังหันไปอย่างรวดเร็ว ไม่พูดอะไรอีก ปีนขึ้นไปนั่งบนรถม้าที่จอดรออยู่ตรงขอบถนน ขับตะบึงออกไปอย่างดุเดือด นายบัตทอนยืนอยู่บนทางเดิน รู้สึกมึนงงและสั่นระริกจากศีรษะจรดปลายเท้า ลูกของเขาพิกลพิการน่ากลัวขนาดนั้นเชียวรึ จู่ ๆ เขาก็หมดความเร่าร้อนที่จะเข้าไปใน ‘โรงพยาบาลเอกชนแมรีแลนด์สำหรับสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ’ ครู่ใหญ่ต่อมา เขาบังคับตัวเองอย่างยากเย็นแสนเข็ญให้ก้าวขึ้นบันไดและเดินผ่านประตูหน้าเข้าไป

นางพยาบาลคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างหลังโต๊ะในห้องโถงที่ดูมืดทึมและเศร้าสร้อย

นายบัตทอนกล้ำกลืนความอับอายและเดินไปหาหล่อน

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” หล่อนทักทายและมองเขาอย่างร่าเริง

“อรุณสวัสดิ์ครับ ผม ผมชื่อบัตทอนครับ”

ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าหวาดกลัวก็แผ่ซ่านขึ้นบนใบหน้าหญิงสาว หล่อนลุกขึ้นยืนและทำท่าคล้ายจะวิ่งหนีออกจากห้องโถงนั้น แต่เหนี่ยวรั้งตัวเองไว้ด้วยความยากเย็นอย่างเห็นได้ชัด

“ผมอยากดูลูกของผม” นายบัตทอนพูด

พยาบาลหวีดร้องออกมาเบา ๆ “โอ ได้สิคะ” แล้วหล่อนก็ตะโกนเสียงดังอย่างคุมตัวเองไม่อยู่ “ชั้นบน ชั้นบนทางขวามือ ขึ้นไปเลยค่ะ”

หล่อนชี้ทาง นายบัตทอนนั้นเหงื่อเย็นเยียบไหลท่วมตัว เขาหันหลังอย่างไม่ค่อยแน่ใจ ก่อนจะเดินขึ้นชั้นสอง ในห้องโถงชั้นบนเขาพูดกับพยาบาลอีกคนซึ่งเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับกะละมังอาบน้ำในมือ “ผมชื่อบัตทอนครับ” เขากล่าวอย่างชัดเจน “ผมต้องการพบ...”

เคล้ง กะละมังอาบน้ำหล่นลงบนพื้นและกลิ้งไปทางบันได เคล้ง โคล้ง เคล้ง มันหล่นลงบันไดทีละขั้นประหนึ่งจะร่วมวงความตื่นตระหนกที่เกิดจากสุภาพบุรุษผู้นี้

“ผมต้องการพบลูกของผม” นายบัตทอนร้องจนเกือบเป็นตะโกน เขาจวนเจียนจะเป็นลมล้มครืนอยู่แล้ว

เคล้ง กะละมังอาบน้ำกลิ้งไปถึงชั้นหนึ่ง พยาบาลเพิ่งจะได้สติ และมองนายบัตทอนอย่างดูแคลนเต็มที่

“ได้สิ คุณบัตทอน” หล่อนตอบด้วยเสียงเบา “ได้เลย แต่อยากให้คุณรู้จังว่าเมื่อเช้านี้เราโกลาหลกันขนาดไหน เหลือเชื่อที่สุด โรงพยาบาลนี้คงไม่หลงเหลือชื่อเสียงอะไรอีกแล้ว หลังจาก...”

“เร็วเข้าเถอะครับ” เขาร้องอย่างเหลืออด “ผมทนไม่ไหวแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้น เชิญทางนี้ คุณบัตทอน”

เขาลากสังขารตัวเองตามหล่อนไป สุดปลายห้องโถงยาวนั้น ทั้งสองมาถึงห้องซึ่งเต็มไปด้วยเสียงร้องกระจองอแงทุกชนิด ที่จริงแล้ว นี่คือห้องซึ่งภายหลังเป็นที่รู้จักกันว่า ‘ห้องร้องไห้’ ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องนั้น

“เอาล่ะครับ” นายบัตทอนพูดด้วยอาการหอบ “คนไหนลูกผมครับ”

“นั่นไง” พยาบาลบอก

นายบัตทอนมองตามนิ้วของพยาบาลที่ชี้บอก และนี่คือสิ่งที่เขาเห็น ร่างในผ้าห่มสีขาวผืนใหญ่หนาซึ่งนั่งอัดอยู่ในเปลเด็ก เป็นชายแก่อายุประมาณเจ็ดสิบปี ผมที่เหลืออยู่บางๆ เกือบจะเป็นสีขาว ใต้คางมีเครายาวสีควันบุหรี่ห้อยปลิวไปมาดูน่าขันยามต้องสายลมอ่อนๆ ที่พัดเข้ามาทางหน้าต่าง เขามองดูนายบัตทอนด้วยดวงตาสีขุ่นแฝงด้วยแววสงสัย

“ผมเป็นบ้าตาลายไปหรือเปล่านี่” นายบัตทอนส่งเสียงดังเหมือนฟ้าร้อง ความหวาดกลัวของเขากลายเป็นความโกรธเกรี้ยว “ตลกชวนยิ้มแสยะของโรงพยาบาลหรือครับ”

“พวกเราไม่เห็นว่าน่าขำตรงไหน” พยาบาลตอบอย่างเคร่งเครียด “และฉันไม่ทราบหรอกค่ะว่าคุณเสียสติไปหรือเปล่า แต่นี่เป็นลูกของคุณแน่นอนที่สุด”

เม็ดเหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นที่หน้าผากนายบัตทอนมากขึ้นเป็นเท่าทวี เขาหลับตาลง และลืมตาขึ้นอีกครั้ง มองไปอีกที ไม่มีอะไรผิดพลาด เขากำลังจ้องดูชายผู้มีอายุยี่สิบสามหนบวกสิบ ทารกซึ่งมีอายุยี่สิบสามหนบวกสิบ ทารกซึ่งนั่งห้อยเท้าสองข้างอยู่บนเปล

ชายชรามองคนนั้นทีมองคนนี้ทีอย่างสงบ จากนั้นพูดขึ้นทันใดด้วยเสียงแหบพร่าของคนชรา “คุณเป็นพ่อผมหรือครับ” เขาถาม

นายบัตทอนและพยาบาลตกใจสะดุ้งสุดขีด

“เพราะว่าถ้าคุณเป็นพ่อของผม” เขายังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “ผมอยากให้คุณพาผมออกไปจากที่นี่ หรืออย่างน้อยบอกให้เขาหาเก้าอี้โยกสบาย ๆ มาไว้ตรงนี้หน่อย”

“คุณมาจากไหน คุณเป็นใคร” นายบัตทอนระเบิดเสียงโวยวายอย่างไร้สติ

“ผมบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าผมเป็นใคร” เขาตอบด้วยเสียงสะอื้นคราง “เพราะว่าผมเพิ่งเกิดได้สองสามชั่วโมงเท่านั้น แต่ชื่อสกุลของผมคือบัตทอนแน่นอน”

“แกโกหก แกมันไอ้คนแอบอ้าง”

ชายชราหันไปหาพยาบาลอย่างเหนื่อยอ่อน

“เขาต้อนรับเด็กเกิดใหม่กันแบบนี้เรอะ” เขาบ่นเบา ๆ “ทำไมคุณไม่บอกไปล่ะครับว่าเขาเข้าใจผิด”

“คุณเข้าใจผิดนะคะ คุณบัตทอน” พยาบาลกล่าวอย่างจริงจัง “นี่คือลูกของคุณ และคุณจะต้องทำให้ดีที่สุด เราต้องขอให้คุณพาเขากลับบ้านเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ค่ะ วันนี้เวลาไหนก็ได้ค่ะ”

“บ้านหรือครับ” นายบัตทอนกล่าวซ้ำอย่างไม่เชื่อหู

“ใช่ค่ะ เราให้เขาอยู่ที่นี่ไม่ได้ ไม่ได้จริง ๆ นะคะ”

“ผมยินดีมากครับ” ชายชรารำพัน “ที่นี่ช่างเงียบเชียบเหมาะกับเด็กผู้รักความสงบเสียจริง เสียงร้องกระจองอแงแบบนี้ จะให้ผมหลับเข้าไปได้ยังไง พอผมหิวร้องขอของกิน” ตอนนี้เสียงเขาหวีดแหลมไม่พอใจ “เขากลับเอานมมาให้ผม”

นายบัตทอนนั่งจมลงบนเก้าอี้ใกล้บุตรชายของเขา และยกมือขึ้นปิดหน้า “สวรรค์ช่วยด้วยเถิด” เขาพึมพำอย่างสยองใจ “คนอื่นรู้เข้าจะว่ายังไงกันบ้างก็ไม่รู้ ฉันจะทำยังไงดี”

“คุณต้องพาเขากลับบ้าน” พยาบาลกล่าวยืนยัน “เวลานี้เลยนะคะ”

ภาพพิลึกพิลั่นปรากฏแจ่มชัดจนน่ากลัวอยู่เบื้องหน้าชายผู้ทุกข์ทรมาน ภาพเขาเดินบนถนนในตัวเมืองซึ่งคลาคล่ำด้วยฝูงชน โดยมีชายประหลาดน่าเกลียดน่ากลัวคนนี้เดินกระย่องกระแย่งเคียงข้างเขา

“ผมทำไม่ได้ ผมทำไม่ได้” เขาคร่ำครวญ

ผู้คนจะพากันทักทายเขา แล้วเขาจะพูดอะไรได้ เขาจะต้องแนะนำคุณปู่อายุเจ็ดสิบคนนี้ว่า ‘นี่ลูกชายผมครับ เพิ่งคลอดเมื่อเช้านี้เอง’ จากนั้นชายชราคนนี้จะกระชับผ้าห่มรอบ ๆ ตัวเขา แล้วทั้งสองก็ค่อย ๆ เดินต่อ ผ่านร้านรวงที่หนาแน่นไปด้วยผู้คน ผ่านตลาดค้าทาส (วูบนั้นนายบัตทอนเกิดความคิดชั่วร้าย นึกอยากให้ลูกชายของเขาเป็นคนผิวดำเสียให้รู้แล้วรู้รอด) จากนั้นเดินผ่านบ้านหรูหราในย่านที่พักอาศัย ผ่านบ้านพักคนชรา…

“เอาน่า คุณทำใจดีๆ ไว้ดีกว่า” พยาบาลพูด

“นี่” ชายชราสอดขึ้น “ถ้าคุณคิดว่าผมจะเดินห่มผ้าห่มผืนเดียวกลับบ้านละก็ คุณคิดผิดแล้วล่ะ”

“ทารกก็ต้องห่มผ้าทุกคนแหละค่ะ”

ชายชราชูผ้าผืนเล็กสีขาวอย่างโกรธเคือง “ดูนี่ซะ” ตัวเขาสั่นเทิ้ม “นี่คือผ้าที่เขาเอามาให้ผม”

“ทารกก็ต้องห่มผ้าพวกนี้ทั้งนั้น” พยาบาลเจ้าระเบียบตอบ

“ก็ได้” ชายชราพูด “อีกสองนาทีทารกคนนี้จะไม่ห่มอะไรเลย ผ้าอะไรคันเป็นบ้า อย่างน้อยเอาผ้าปูผืนใหญ่มาให้ก็ยังดี”

“ห่มไว้ก่อน ห่มไว้” นายบัตทอนรีบห้าม แล้วหันไปทางพยาบาล “ผมจะทำยังไงดี”

“เข้าเมืองไปหาซื้อเสื้อผ้าให้ลูกคุณสิคะ”

เสียงของลูกชายร้องตามหลังนายบัตทอนไป “เอาไม้เท้าด้วยครับคุณพ่อ ผมต้องใช้ไม้เท้า”

นายบัตทอนเหวี่ยงประตูบานนอกดังปังอย่างไม่ปรานีปราศรัย



2




“อรุณสวัสดิ์ครับ” นายบัตทอนเอ่ยทักพนักงาน ‘บริษัทขายเสื้อผ้าเชสสะพีค’ แบบหวาดๆ “ผมหาซื้อเสื้อผ้าให้ลูก”

“ลูกของคุณอายุเท่าไหร่ครับ”

“ประมาณหกชั่วโมง” นายบัตทอนตอบโดยไม่ทันคิด

“แผนกเครื่องใช้ทารกอยู่ด้านหลังครับ”

“เอ้อ ผมคิดว่า…ผมคงพูดผิดครับ คือว่า ลูกผมตัวใหญ่ผิดปกติ เอ้อ ใหญ่...มาก”

“ทางแผนกเขามีขนาดใหญ่ที่สุดสำหรับเด็กหลายขนาดครับ”

“แผนกเด็กชายอยู่ไหน” นายบัตทอนสอบถามพลางขยับเท้ากระสับกระส่าย เขารู้สึกว่าพนักงงานจะต้องหยั่งรู้ความลับที่น่าละอายของเขาแล้วแน่นอน

“ที่นี่ครับ”

“เอ้อ” เขาลังเล ความคิดที่จะจับลูกชายใส่เสื้อผ้าบุรุษช่างน่าสะอิดสะเอียนนัก สมมติว่า เขาหาชุดสูทเด็กขนาดใหญ่สุดได้ เขาอาจตัดเครายาวกับหนวดบ้านั้นทิ้ง ย้อมผมขาวเป็นสีน้ำตาลซะ เท่านี้ก็พอจะปกปิดส่วนเลวร้ายที่สุดไว้ได้ เขาจะยังเหลือความนับถือตัวเองส่วนหนึ่ง ส่วนฐานะของเขาในวงสังคมเมืองบัลติมอร์นั้นยังไม่ต้องพูดถึงกัน

แต่หลังจากค้นหาแผนกเด็กชายอย่างพลิกแผ่นดินแล้ว ไม่มีชุดใดเลยที่จะพอดีตัวบัตทอนแรกเกิด เขาตำหนิห้างสรรพสินค้านั้น ใช่สิ แน่นอน กรณีแบบนี้เป็นเรื่องที่ต้องตำหนิห้างนั้นแน่ๆ

“คุณบอกว่าลูกชายของคุณอายุเท่าไรนะครับ” พนักงานถามอย่างอยากรู้

“เขาอายุ...สิบหก”

“โอ ขอโทษครับ ผมนึกว่าคุณบอกว่าหกชั่วโมง แผนกเด็กวัยรุ่นอยู่ช่องถัดไปครับ”

นายบัตทอนหันหน้าไปอีกทางอย่างเศร้าสร้อย จากนั้นหยุดกึก ยิ้มหน้าบาน และชี้นิ้วไปที่ชุดสูทบนตัวหุ่นในตู้แสดงสินค้า

“นั่นไง” เขาร้อง “ผมจะซื้อชุดนั้น ชุดที่หุ่นใส่อยู่นั่นแหละ”

พนักงานจ้องตาถลน “แต่ว่า” เขาค้าน “นั่นไม่ใช่ชุดของเด็กครับ เอ้อมันใช่ แต่เป็นชุดแต่งแฟนซี คุณสวมชุดนั้นเองยังได้เลยนะครับ”

“เอาชุดนี้ห่อให้ผม” ผู้เป็นลูกค้ายืนยันด้วยอาการร้อนรน “ผมต้องการชุดนี้”

พนักงานผู้นั้นพิศวงงงงวยแต่ก็ทำตาม

เมื่อกลับมาถึงโรงพยาบาล นายบัตทอนเดินตรงเข้าไปที่ห้องเด็กทารก และแทบจะโยนห่อเสื้อผ้าให้บุตรชาย “เอ้านี่ เสื้อผ้าของแก” เขาพูดเสียงห้วน

ชายชราแกะห่อแล้วมองของข้างในด้วยสายตาขบขัน

“ชุดนี้ดูตลกนะครับ” เขาบ่น “ผมไม่อยากกลายเป็นตัวตลก...”

“แกน่ะแหละทำให้ฉันกลายเป็นตัวตลก” นายบัตทอนกระแทกเสียงตอบอย่างรุนแรงด้วยโทสะ “แกไม่ต้องสนใจว่าจะดูตลกแค่ไหน ใส่เสื้อผ้าซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะ...จะตีก้นแก” เขากลืนน้ำลายยากเย็นหลังคำพูดเกือบสุดท้ายคำนั้น แต่ก็รู้สึกว่าพูดแบบนี้ก็เหมาะแล้ว

“เอาล่ะครับ คุณพ่อ” คนพูดเลียนแบบท่าเคารพผู้ให้กำเนิดได้สุดแสนพิลึกพิลั่นขัดลูกนัยน์ตา “พ่ออาบน้ำร้อนมาก่อนผม ย่อมรู้ดีที่สุด ผมจะทำตามที่พ่อบอกครับ”

เหมือนเช่นครั้งก่อนๆ นายบัตทอนได้ยินคำว่า ‘พ่อ’ แล้วก็สะดุ้งสุดตัว

“แล้วก็รีบ ๆ ด้วยล่ะ”

“ผมรีบอยู่ครับ คุณพ่อ”

เมื่อบุตรชายของเขาแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย นายบัตทอนมองดูด้วยความห่อเหี่ยว เครื่องแต่งกายนั้นประกอบด้วยถุงเท้าลายจุด กางเกงขาสั้นสีชมพู และเสื้อคาดเข็มขัดมีคอเสื้อกว้างสีขาว เครายาวสีเงินยาวเกือบถึงเอวกวัดแกว่งไปมาอยู่บนปกเสื้อ ช่างไม่เข้ากันเอาเสียเลย

“รอเดี๋ยว”

นายบัตทอนหยิบกรรไกรด้ามใหญ่ของโรงพยาบาลมาถือ ตัดฉับๆ สามทีตรงเคราส่วนที่หนามาก แต่แม้จะแก้ไขเช่นนั้นแล้ว ดูรวม ๆ ก็ยังห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบ เพราะยังคงมีเส้นผมหยาบเป็นพุ่มโกโรโกโส ดวงตาเปียกแฉะ และฟันฟางเก่า ๆ หลงเหลืออยู่ ซึ่งทำให้ดูแปลกประหลาด ไม่เข้ากับชุดเสื้อผ้าที่มีสีสดใสนั้นเลย แม้กระนั้นนายบัตทอนก็ไม่ยอมแพ้ ดึงแขนชายชราและพูดเสียงแข็ง “มา ไปด้วยกัน”

บุตรชายจับมือนายบัตทอนอย่างไว้ใจ “พ่อจะเรียกผมว่าอะไรครับ” ถามเสียงสั่นขณะที่เดินออกจากห้องเด็กทารกไปด้วยกัน “เรียกแค่ ลูกน้อย ไปก่อนดีไหมครับ จนกว่าพ่อจะนึกชื่อที่ดีกว่านี้ได้”

นายบัตทอนคำรามในคอ “ไม่รู้โว้ย” เสียงเขาเกรี้ยวกราด “ฉันกะจะเรียกแกว่าเมธุเซลาห์ ”


ขี้เกียจพิมพ์แล้ว
ตอนที่ 3 ไว้เดี๋ยวมาต่อให้พรุ่งนี้นะ